[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 156
เถรคาถา ฉักกนิบาต
๒. เตกิจฉกานิเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเตกิจฉกานิเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 156
๒. เตกิจฉกานิเถร๑คาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเตกิจฉกานิเถระ
มารกล่าวว่า
[๓๔๘] ข้าวเปลือกเขาเก็บเข้ายุ้งฉางเสียแล้ว ข้าวสาลียังอยู่ ในลาน เราไม่พึงได้แม้ก้อนข้าว บัดนี้ จักทำอย่างไร.
พระเถระกล่าวว่า
ท่านจงระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้มีพระคุณหาประมาณ มิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มี จิตเบิกบานแล้วเนืองๆ ท่านจงระลึกถึงพระธรรม อันมี คุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติ ถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ ท่านจงระลึกถึง พระสงฆ์ผู้มีคุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็น ผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ.
มารกล่าวว่า
ท่านอยู่ในที่แจ้ง ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ท่านอย่าถูก ความหนาวครอบงำลำบากเลย นิมนต์ท่านเข้าไปสู่ที่อยู่ อันมีบานประตูและหน้าต่างมิดชิดเถิด.
ลำดับนั้น พระเถระกล่าวว่า
เราจักเจริญอัปปมัญญา ๔ และจักมีความสุขอยู่ด้วย อัปปมัญญาเหล่านั้น เราจักเป็นผู้ไม่หวั่นไหวไม่ลำบาก ด้วยความหนาว.
จบเตกิจฉกานิเถรคาถา
๑. อรรถกถาว่า เตกิจฉการีเถระ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 157
อรรถกถาเตกิจฉการีเถร๑คาถาที่ ๒
คาถาของท่านพระเตกิจฉการีเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อติหิตา วีหิ ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
แม้พระเถระก็ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาล แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี บังเกิดในเรือนของตระกูล รู้เดียงสาแล้วก็ได้สำเร็จเวชศาสตร์ ได้กระทำพระเถระนามว่า อโสกะ ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี ซึ่งอาพาธให้หายโรค. และ ได้ปรุงยาให้แก่สัตว์เหล่าอื่นผู้ถูกโรคครอบงำ ด้วยความอนุเคราะห์.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ใน พุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ ชื่อว่า สุพุทธะ. ญาติ ทั้งหลายตั้งชื่อว่า เตกิจฉการี เพราะในเวลาที่เขาอยู่ในครรภ์ พวกหมอ ได้พากันบริบาลรักษาให้ปราศจากอันตราย.
เขาศึกษาวิชาและศิลปอันสมควรแก่ตระกูลของตน จึงเจริญอยู่. ในกาลนั้นพราหมณ์จาณักกะ ได้เห็นความเฉียบแหลมแห่งปัญญา และ. ความฉลาดในอุบายในการกระทำต่างๆ ของสุพุทธพราหมณ์ ถูกความ ริษยาครอบงำว่า สุพุทธะนี้ได้ที่พึ่งในราชสกุลนี้ จะพึงข่มขี่เรา จึงให้ พระเจ้าจันทคุตต์จับเขาขังในเรือนจำ.
นายเตกิจฉการี ได้ฟังว่าบิดาถูกขังในเรือนจำก็กลัว จึงหนีไปยัง สำนักของพระสาณวาสีเถระ เล่าเหตุการณ์อันน่าสลดใจของตนแก่พระเถระ แล้วบวชเรียนพระกัมมัฏฐาน เป็นผู้ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร และถือ
๑. บาลีว่า เตกิจฉกานิเถระ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 158
การนั่งเป็นวัตรอยู่ ไม่ย่นย่อต่อความหนาวและความร้อน กระทำแต่ สมณธรรมเท่านั้น โดยพิเศษ หมั่นประกอบพรหมวิหารภาวนา.
มารผู้มีบาปเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เราจักไม่ให้สมณะนี้ล่วงพ้นวิสัย ของเราไปได้ ประสงค์จะทำให้ฟุ้งซ่าน ในเวลาเสร็จ (การทำ) ข้าวกล้า จึงแปลงเพศเป็นคนเฝ้านา เข้าไปหาพระเถระ เพื่อจะเยาะเย้ยท่านจึง กล่าวว่า
ข้าวเปลือกเขาเก็บเข้ายุ้งฉางเสียแล้ว ข้าวสาลีก็ยัง อยู่ในลาน เราไม่พึงได้แม้แต่ก้อนข้าว บัดนี้ จักทำ อย่างไร.
พระเถระได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า
ท่านจงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระคุณหาประมาณ มิได้ จักมีความเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ ท่านจงระลึกถึงพระธรรมอันมี คุณหาประมาณมิได้... ฯลฯ. .. ท่านจงระลึกถึงพระสงฆ์ผู้ มีคุณอันหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระ อันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ.
มารได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า
ท่านอยู่ในที่แจ้ง ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ท่านอย่าถูก ความหนาวครอบงำลำบากเลย นิมนต์ท่านเข้าไปยังที่อยู่ อันมีบานประตูและหน้าต่างมิดชิดเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 159
ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า
เราจักเจริญอัปปมัญญา ๔ และจักมีความสุขอยู่ ด้วยอัปปมัญญา ๔ เหล่านั้น เราจักเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไม่ ลำบากด้วยความหนาว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อติหิตา วีหิ ความว่า ข้าวเปลือกที่ เขานำไปเก็บไว้ยังยุ้งฉาง อธิบายว่า เก็บงำไว้ในยุ้งฉางนั้น หรือนำจาก ในมายังเรือน. ก็ในที่นี้ ท่านสงเคราะห์เอาธัญญาหารแม้อย่างอื่น ด้วย วีหิ ศัพท์. ส่วนข้าวสาลีโดยมากสุกทีหลังข้าวเปลือก ด้วยเหตุนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า ข้าวสาลียังอยู่ในลาน อธิบายว่า ไปสู่ลาน คือสถานที่เป็น ที่นวดข้าว ได้แก่วางไว้ที่ลานนั้น โดยลอมเป็นกอง โดยการนวดและการ เคลื่อนย้ายไปเป็นต้น. ท่านแสดงว่า ก็ในที่นี้ เพื่อจะแสดงความที่ข้าว เปลือกเป็นประธาน จึงถือเอาข้าวสาลีแยกเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก. แม้ด้วย ข้าวทั้งสองนั้น ธัญชาติก็ตั้งอยู่เต็มทั้งในบ้านและภายนอกบ้าน.
บทว่า น จ ลเภ ปิณฺฑํ ความว่า มารได้ทำการหัวเราะเยาะว่า ใน เมื่อธัญญาหารหาได้ง่ายอย่างนี้ คือ ในเวลามีภิกษาดี แม้มาตรว่าก้อน ข้าว เราก็จักไม่ได้ บัดนี้ เราจักการทำอย่างไร อธิบายว่า เราจักทำ อย่างไร คือจักเลี้ยงชีพอยู่ได้อย่างไร.
พระเถระได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า คนผู้น่าสงสารนี้ ประกาศประวัติ ของตนด้วยตนแก่เรา ส่วนเราควรโอวาทตนด้วยตนเอง ไม่ควรพูดอะไรๆ เมื่อจะแนะนำตนเข้าไปในการระลึกถึงวัตถุทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา โดยนัยมีอาทิว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 160
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธมปฺปเมยฺยํ อนุสฺสร ปสนฺโน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า พุทธะ เพราะไปปราศเด็ดขาดจาก ความหลับ คืออวิชชาพร้อมทั้งวาสนา และเพราะเบิกบานแล้วด้วย ความรู้ ชื่อว่า ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ เพราะไม่มีกิเลสมีราคะเป็นต้น อันเป็นเครื่องกระทำประมาณ เพราะเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยพระคุณหา ประมาณมิได้ และเพราะเป็นเนื้อนาบุญอันหาประมาณไม่ได้. มีความ เลื่อมใส คือมีใจเลื่อมใสด้วยความเลื่อมใสยิ่ง อันมีความเชื่อเป็นลักษณะ จงระลึกถึง คือจงยังสติอันมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ให้เป็นไปเนืองๆ โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ท่านจักเป็นผู้มีสรีระอัน ปีติถูกต้องแล้ว.
บทว่า สตตมุทคฺโค ความว่า ท่านเมื่อระลึกถึงอยู่นั่นแล เป็น ผู้มีสรีระ อันปีติซึ่งมีลักษณะซาบซ่านถูกต้องแล้วเนืองๆ คือทุกๆ กาล คือเป็นผู้มีสรีระถูกท่วมทับด้วยรูปอันประณีตซึ่งมีปีติเป็นสมุฏฐาน พึงมีใจ เบิกบานด้วยอุเพงคาปีติ และสามารถทำการให้ลอยขึ้นสู่อากาศได้ พึง เสวยปีติและโสมนัสอันยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ด้วยพุทธานุสสติ อันเป็นเหตุจักไม่ให้แม้แต่ความหิวและความกระหายครอบงำได้ ประดุจ ความหนาวและร้อนครอบงำไม่ได้ฉะนั้น.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่โลกุตรธรรมอันประเสริฐ.
บทว่า สงฺฆํ ได้แก่พระสงฆ์ผู้บรรลุประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็น อริยสงฆ์. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวนั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 161
ก็ในบทว่า อนุสฺสร นี้ พึงประกอบความว่า จงระลึกถึงพระธรรมโดยนัยมีอาทิว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว และ ระลึกถึงพระสงฆ์โดยนัยมีอาทิว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว.
เมื่อพระเถระโอวาทตนด้วยการชักนำเข้าในการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอย่างนี้แล้ว มารประสงค์จะให้พระเถระนั้นสงัดโดยการอยู่สงัดอีก เมื่อจะแสดงคนประหนึ่งว่านี้หวังดี จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า จงอยู่ในที่แจ้ง ดังนี้.
คาถานั้นมีเนื้อความว่า ภิกษุ ท่านจงอยู่ คือสำเร็จอิริยาบถอยู่ที่ เนินกลางแจ้ง อันอะไรๆ ไม่ปิดบัง.
ราตรีหนาวเย็นนี้ นับเนื่องในสมัยหิมะตก กำลังดำเนินไปอยู่ ชื่อว่า ฤดูหนาว. เพราะฉะนั้น ท่านอย่าถูกความหนาวครอบงำลำบากเลย คือ อย่าได้ความคับแค้น อย่าลำบาก. ท่านจงเข้าไปยังเสนาสนะอันมีบานประตูและบานหน้าต่างอันมิดชิด คือมีบานประตูหน้าต่างอันปิดแล้ว ท่าน จักอยู่เป็นสุขด้วยประการอย่างนี้.
พระเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะแสดงว่า เราไม่มีประโยชน์ในการ แสวงหาเสนาสนหะ เฉพาะในที่นี้ เรากอยู่สบาย จึงกล่าวคาถาที่ ๖ โดย นัยมีอาทิว่า เราจักเจริญ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผุสิสฺสํ จตสฺโส อปฺปมญฺาโย ความว่า เราจักเจริญ คือจักเข้าตามกาลอันควร ซึ่งพรหมวิหาร ที่ได้ชื่อว่าอัปปมัญญา เพราะมีอารมณ์หาประมาณมิได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 162
บทว่า ตาหิ จ สุขิโต วิหริสฺสํ ความว่า เราจักเป็นผู้มีความสุข คือ เกิดสุขอยู่ คือสำเร็จอิริยาบถแม้ทั้ง ๔ อยู่ด้วยอัปปมัญญาเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น เราจึงมีความสุขอย่างเดียวในทุกเวลา ความทุกข์ไม่มี.
เพราะเราจักไม่ลำบากด้วยความหนาว คือเราจักไม่ลำบากด้วย ความหนาว ในฤดูหิมะตก แม้อันมีถัดจากเดือนที่ ๘ เพราะฉะนั้น เรา จักไม่หวั่นไหวอยู่ คือจักเป็นมีความสุขอยู่ด้วยความสุขอันเกิดจากสมาบัติ นั่นแหละ เพราะละได้เด็ดขาดซึ่งความพยาบาทเป็นต้น อันเป็นเหตุทำ จิตให้หวั่นไหว และเพราะไม่มีความหวั่นไหวอันเกิดจากปัจจัย. พระเถระ เมื่อกล่าวคาถานี้อย่างนี้ ได้เจริญวิปัสสนาทำให้แจ้งพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน๑ว่า
เราเป็นหมอผู้ศึกษาดีแล้ว อยู่ในนครพันธุมดี เป็น ผู้นำความสุขมาให้แก่มหาชนผู้มีทุกข์เดือดร้อน ในกาล นั้น เราเห็นพระสมณะผู้มีศีล ผู้รุ่งเรืองใหญ่ป่วยไข้ มี จิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้ถวายยาบำบัดไข้ พระสมณะ ผู้สำรวมอินทรีย์ เป็นอุปัฏฐากของพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่าพระอโสกะ หายจากโรคด้วยยานั้นแล ในกัปที่ ๙๐ แต่ภัทรกัปนี้ ด้วยการที่เราได้ถวายยา เรา ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายยา และในกัปที่ ๘ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า สัพโพสธะ มีผลมาก สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ. เรา
๑. ขุ. อ. ๓๒/ข้อ ๑๘๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 163
เผากิเลสได้แล้ว... ฯลฯ. .. เรากระทำตามคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าแล้ว.
ก็ในที่นี้ พึงทราบว่า พระสังคีติกาจารย์ได้ร้อยกรองคาถาเหล่านี้ ไว้ในคราวทำสังคายนาครั้งที่ ๓ เพราะพระเถระนี้เกิดขึ้นในรัชกาลของ พระเจ้าพินทุสาร.
จบอรรถกถาเตกิจฉการีเถรคาถาที่ ๒