ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่มีใครบังคับ หรือทำอะไรให้เกิดขึ้นได้
ชีวิตจริง ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม จริงยิ่งกว่าละครโรงเล็ก เพราะนี่
คือ ละครโรงใหญ่ ละครโรงเล็กยังมีผู้กำกับให้เล่นอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ แล้วชีวิตจริง
ใครเป็นผู้กำกับ? กรรมนั้นเองเป็นผู้กำกับตัวจริงที่จะให้เห็น ได้ยิน...สิ่งที่น่าพอใจ
และสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ต่อจากนั้นก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้างตามการสะสมของแต่ละ
บุคคล ไม่มีใครเป็นผู้กำกับชีวิตจริงได้นอกจากกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต
เวลาดูละครในโทรทัศน์ เราจะพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง โกรธบ้าง ชอบบ้างไป
ตามตัวละคร แต่ลืมเข้าใจธรรมว่า ไม่ว่าละครโรงเล็กหรือละครโรงใหญ่ ก็มีเพียงธรรม
ที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่พ้นไปจากเห็น ได้ยิน...และคิดนึก คิดเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง
ก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล
....ขออนุโมทนาค่ะ...
โรงละครของโลก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้น เราเห็นโรงละครของโลก
ทางตามีอารมณ์เป็นตัวละคร แล้วก็กลับเข้าโรง
นั่นคือการกลับเป็นภวังค์
แล้วตัวละครหรืออารมณ์อื่นก็ออกมา สลับกันอย่างนี้เรื่อยไป
เมื่อเราหลับตาลง โรงละครอย่างนี้จะไม่มีปรากฎ
นั่นคือขณะที่เป็นภวังค์
เมื่อพิจารณาอย่างนี้ เราจะ "ละ" หรือจะ "ติด" ในตัวละครนั้น
นี่คือโลกทางตา ส่วนทางอื่นก็โดยนัยเดียวกัน
ธรรมเตือนใจ : วันที่ 05- 06- 2547
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ
ควรฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า
อะไรเป็นปรมัตถธรรม อะไรเป็นบัญญัติ
ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม ก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ขออนุโมทนาค่ะ
"ไม่มีใครเป็นผู้กำกับชีวิตจริงได้นอกจากกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต"
ขอบพระคุณค่ะพี่เมตตา ขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ