ผู้ทีมีบุญและได้พบอาจารย์ และเมื่อได้ฟังธรรมจากอาจารย์แล้ว ก็จะมีความเข้าใจแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ก็จะไม่เข้าไจ เข้าใจมั่ง ไม่เข้าใจมั่ง และเข้าใจชี่งมีน้อย แต่พวกเราก็ยังฟังต่อเพราะมีการสะสมมา ผู้ทีไม่มีสะสมก็เลิกฟังไป
จีงขอชวนท่านทั้งหลายเล่าประสบการณ์ การฟังอาจารย์จนเข้าใจ เพื่อผู้ทีฟังยังไม่เข้าใจจะได้ประโยชน์
ตั้งใจฟัง ใส่ใจ สนใจ ขวนขวาย ฟังบ่อยๆ สนทนาธรรมตามโอกาสบ่อยๆ และขึ้นอยู่กับการสั่งสมความรู้ความเข้าใจของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แล้วแต่อัธยาศํยค่ะ
"การศึกษาที่แท้จริงนั้น เป็นการอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสจนหมดสิ้น"
การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นของยาก เมื่อมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ก็ตั้งใจฟังตั้งใจศึกษา พิจารณาไตร่ตรองตาม ฟังไปเรื่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆ ครับ เพื่อความเข้าใจถูกยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะปัญญา เป็นพืชที่โตช้าอยู่แล้ว ผู้ที่เป็นสาวกต้องฟัง ฟังไปเรื่อยๆ ในเมื่อจะได้ยินเสียงอยู่แล้ว ก็ขอให้ได้ยินเสียงพระธรรมอยู่เรื่อยๆ ดีที่สุด ครับ
ในปัญญาวุฑฒิสูตร พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ว่า ธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ดังนี้ คือ
คบสัตบุรุษ ๑
ฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑
การใส่ใจโดยแยบคาย ๑
การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
ท่านอาจารย์จะเน้นเสมอว่า ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังจริงๆ โดยไม่คิดเรื่องอื่นหรือคิดเอาเอง ทิ้งความคิดผิดหรือเข้าใจผิดเดิมๆ ก่อนที่จะได้ฟัง เพราะพระธรรมเป็นเรื่องยากจึงต้องฟังด้วยความเข้าใจบ่อยๆ เนืองๆ จริงๆ และด้วยความอดทนพร้อมวิริยะอุตสาหะ ฟังให้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎขณะนี้ เช่น ได้ยินเสียง เห็นสิ่งที่ปรากฎทางตา ฯลฯ พิจารณาไตร่ตรองตามว่าเป็นจริงอย่างที่ฟัง ไม่ใช่ศึกษาเป็นตำราเป็นชื่อ เป็นเรื่อง เป็นจำนวนตัวเลข เพราะทุกพยัญชนะที่พระพุทธองค์ตรัสก็เพื่อส่องถึงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎได้ ๖ ทางคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
สาธุ
ฟังและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ฟังแล้วและฟังอีก บ่อยๆ เนืองๆ และไม่ลืมว่าสิ่งทั้งหลายที่ได้ฟัง ก็คือเรื่องของสิ่งที่มีจริงในทุกๆ ขณะนี้เอง ไม่ใช่อื่นเลย
...ฟังเพื่ออะไร เพื่ออยากรู้หรือเพื่อความเห็นถูก ...
ขณะไหนเข้าใจก็เข้าใจ..ขณะไหนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ...อนัตตา
พิจารณาตาม..แต่ไม่พิจารณาก็เป็นธรรมดา..อนัตตา
อยากเข้าใจ..ความอยากไม่ใช่เหตุทำให้เข้าใจ
เมื่ออยากรู้..จึงท้อ
อยากจะตั้งใจฟัง...แต่ก็ไม่ทุกครั้ง..แต่เริ่มเห็นประโยชน์ของการตั้งใจฟัง
ทำให้เข้าใจด้วยตัวตนไม่ได้...เหตุเกิดพร้อมก็เข้าใจเอง
เข้าใจทีละเล็กละน้อย..ไม่ใช่มากมายเพราะสะสมความไม่รู้มามาก
ที่รู้ยังน้อย ที่ไม่รู้ยังอีกมาก..ก็ฟังไป
เข้าใจเบื้องต้นว่าทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมทำหน้าที่ ไม่ใช่ตัวเราจะพยายามให้เข้าใจ
.....จึงเบาไม่หนักเลยในการศึกษาพระธรรมเพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่ของธรรม.....
เชิญคลิกฟังที่นี่
ฟังธรรมะเพราะอยาก หรือเพื่อเข้าใจถูก
การฟังเพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ฟังธรรมะด้วยความรอบคอบและมั่นคง
เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ต้องฟัง เพราะเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเจริญปัญญาได้ก็อยู่ที่การสะสมของแต่ละคน แต่บอกได้ว่า ตั้งแต่มาฟังท่านอาจารย์สุจินต์บรรยายธรรมมาชีวิตดีขึ้นมาก เหมือนชีวิตเดินถูกทาง และคิดว่า หลายๆ คนก็เป็นเช่นนี้
คุณ khampan.a คะ
ข้อความ เพราะปัญญา เป็นพืชที่โตช้าอยู่แล้ว ผู้ที่เป็นสาวกต้องฟัง ฟังไปเรื่อยๆ ในเมื่อจะได้ยินเสียงอยู่แล้ว ก็ขอให้ได้ยินเสียงพระธรรม อยู่เรื่อยๆ ดีที่สุด ครับ
เป็นที่พึ่งของป้าได้อย่างดีค่ะ
ขอบคุณค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
เมื่อก่อนนี้จะไปปฎิบัติธรรมตามสำนักปฎิบัติธรรมหลายแห่ง โดยการเดินจงกรมและนั่งสมาธิ โดยที่ยังไม่เข้าใจว่าพระธรรมคืออะไร อะไรเป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เวลานั่งจิตจะสงบมาก (ขณะนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นจิตที่สงบจากกิเลส) ก็จะเกิดความยินดีพอใจ (ขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นกิเลสที่เกิดขึ้น) ปฏิบัติโดยไม่มีความเข้าใจ ก็มีแต่อกุศลจิตเกิดขึ้น
ต้องขออนุโมทนาพี่สาว (พี่กุสุมา) ที่มีความศรัทธา และเคารพท่านอาจารย์อย่างมากเห็นว่าน้องสาวกำลังเดินทางผิด จึงได้พามาที่มูลนิธิ ดิฉันคงมีบุญที่ได้กระทำไว้ในอดีตเป็นเหตุปัจจัยให้ได้มาพบท่านอาจารย์สุจินต์ เวลาท่านบรรยายธรรม ทุกๆ คำทุกๆ ประโยคขอให้พวกเราตั้งใจฟังพระธรรมด้วยดี ด้วยความเคารพในพระธรรมที่กำลังฟังและพิจารณาตามในสิ่งที่ท่านอาจารย์บรรยายบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะเข้าใจได้ ขณะที่เข้าใจเจตสิกต่างๆ ก็ทำหน้าที่ของตนเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เข้าใจ ไม่มีตัวเราที่จะเข้าไปเข้าใจ ธรรมะปฏิบัติหน้าที่ของธรรมะเอง ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ส่วนผู้ที่ฟังแล้วยังไม่เข้าใจก็ขอให้อดทนที่จะฟังพระธรรมต่อไป อยู่ที่การสะสมของการฟังพระธรรมแต่อดีตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงควรสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่เดี๋ยวนี้ พระธรรมเป็นของยาก ไม่ต้องรีบร้อนที่จะเข้าใจเร็วๆ ในเมื่อพวกเรามีโอกาสมาพบท่านอาจารย์ได้เริ่มเดินอยู่บนหนทางที่ถูกต้อง แม้หนทางยังอีกยาวไกลก็มีโอกาสถึงจุดหมายปลายทางได้ค่ะ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่ถูกต้องผลที่ถูกก็ต้องตามมา
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขต ในกุศลที่ท่านได้กระทำไว้ในพระพุทธศาสนานี้ ขออนุโมทนาในความอดทนและความมีเมตตาอย่างสูงในการเผยแพร่พระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฟังอย่างไรจึงจะเข้าใจ?
ฟังด้วยศรัทธาในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว
ฟัง และพิจารณาสิ่งที่ฟัง ด้วยการตั้งจิตไว้ตรง
ฟังด้วยมีฉันทะ วิริยะ และขันติ เพื่อจะได้เข้าในในสิ่งที่ได้ฟัง
การฟังด้วยดี จึงเกิดปัญญา และปัญญาเกิดได้จากการฟัง
ฟังท่านอาจารย์สุจินต์อย่างไรจึงเข้าใจ
ครั้งแรกที่ได้ยินได้ฟัง
เป็นการฟังด้วยความดีใจเพราะเหมือนค้นพบสิ่งที่ตามหา
และพอใจในน้ำเสียงของท่านผู้บรรยาย (ท่านอาจารย์สุจินต์) เป็นอย่างมาก
...ฟังด้วยโลภะ...
ต่อมาก็ฟังเรื่อยๆ
ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ตั้งใจฟังบ้าง ไม่ตั้งใจฟังบ้าง ฟังแล้วละเลยบ้าง
...ฟังอย่างผู้ประมาท...
เป็นอย่างนี้นานหลายปีจึงได้รู้สึกว่า
ต้องตั้งใจฟังจริงๆ น้อมไปในการเพื่อจะฟัง ฟังเพื่อความเข้าใจถูก
ไม่ขาดการฟัง ฟังบ่อยๆ ฟังด้วยศรัทธา
ฟังด้วยความเคารพในพระธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ
ขออนุโมทนาคุณชุณห์ และทุกความคิดเห็นค่ะ
คุณ khampan.a คะ
ข้อความ เพราะปัญญา เป็นพืชที่โตช้าอยู่แล้ว ผู้ที่เป็นสาวกต้องฟัง ฟังไปเรื่อยๆ ในเมื่อจะได้ยินเสียงอยู่แล้ว ก็ขอให้ได้ยินเสียงพระธรรมอยู่เรื่อยๆ ดีที่สุด ครับ
เป็นที่พึ่งของป้าได้อย่างดีค่ะ ขอบคุณค่ะ
คำพูดตรงใจมากค่ะ เป็นประโยชน์
ขออ้างอิงและอนุโมทนาด้วยอีกคนนะคะคุณป้า C.pongsiri
วันแรกที่เข้ามามูลนิธิ คือวันที่ 1 กันยายน 2550 มานั่งฟังได้ยินแต่คำศัพฑ์ แสงเฉพาะเยอะมาก ไม่เข้าหูเลยคะ ที่เขาเรียกว่า Hearing But Not Listening นั่งหลับสัปหงก อีกต่างหาก ทั้งที่เพิ่งเรียนจบนิด้ามาหมาดๆ ตอนที่เรียน ป.โท บอกได้เลยว่า ไม่นั่งหลับในเวลาเรียน เพราะท่านอ.ที่สอนจะคอยหมั่นตั้งคำถามตลอดเวลา รู้สึกเจ็บใจตัวเอง เย็นวันนั้นกลับมาที่บ้านเปิด MP3 อีก ขณะที่ฟังก็ทำกิจกรรมอื่นๆ ไปด้วย ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง แต่กิจกรรมทั้งหลาย อาทิ การเย็บผ้า ทำความสะอาดบ้าน ก็เรียบร้อยดี ได้รับฟังบ่อยๆ เนืองๆ ติดต่อกันโดยไม่ขาดการฟัง เริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า
๑.ขณะที่ฟังไม่ควรทำกิจกรรม ใดๆ
๒.ฟังแล้วอย่าตั้งความหวังไว้ มากๆ
๓.ฟังจบแล้วอย่าทรนงตนเองว่า ฟังมาอย่างนี้ ได้รู้มากกว่าคนอื่น ยกตนข่มท่านอีก
๔.ขณะฟัง มีการตรึก ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ตรง และมั่นคง
ฟังจบแล้ว สงสัยจัง ว่าท่านอ. ทราบได้อย่างไรจึงตอบตรงใจเสียทุกครั้งที่เปิดฟัง จะเกิดอาการอาจหาญ ร่าเริง ในที่สุดมาถึงวันนี้ ก็คิดไว้แล้วว่า ต้องฟังไปอีกนานแสนนาน เรียกว่า ศึกษาไปจนกระทั่งจรดเยื่อในกระดูก
ผมก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่รู้สึกทึ่งท่านอาจารย์มาก ตอนนี้ก็คิดว่าฟังท่านน้อยไป เพราะหาแผ่นฟังยาก (จะโหลด เน็ตผมก็ความเร็วต่ำ เดี่ยวหลุดๆ ) ไม่เหมือนของท่านอื่นๆ ซึ่งมีแจกฟรีมากมาย แถมเมื่อได้มา จะทำสำเนาให้คนอื่นได้ฟังต่อก็ไม่ได้ เพราะแผ่นมีลิขสิทธิ์
เรียนคุณจ่าหนาน
กรุณาติดต่อหรือโทรมาที่มูลนิธิ ฝากที่อยู่ไว้กับเจ้าหน้าที่ด้วยน่ะค่ะ ดิฉันจะส่ง mp3 และcd ไปให้ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
เมื่อแรกเริ่มฟังท่านอาจารย์สุจินต์ ป้าก็ได้ฟัง ได้อ่าน ได้ศึกษาจากหลายๆ อาจารย์ หลายๆ สำนัก และแปลกใจว่า ทำไมท่านสอนเราหลายๆ อย่างขัดแย้งกับที่ป้าเคยได้รับรู้มา ก็รู้สึกสับสนพอควร เพราะมัวแต่จะคอยเปรียบเทียบสิ่งที่ได้ยิน ฟังได้สักสองสามครั้ง ก็เริ่มคิดเองว่า ถ้าหากป้าไม่สลัดเรื่องราวที่เคยได้ยินมาก่อน และแตกต่างจากท่าน ป้าจะไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่ท่านกรุณาสอนหรือบอกแก่เรา จึงได้เริ่มฟังท่านเพียงเสียงเดียว แล้วค่อยๆ พิจารณาตาม ทีละนิด ทีละหน่อย ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ จนเป็นเวลาเกือบสิบสามปี วันนี้ก็มั่นคงในการฟังท่านค่ะ
ทุกวันเราได้ยินได้ฟังข้อมูลไหนจริงเท็จชั่งหน้าสับสนจังเลย
ขอขอบคุณทุกท่านที่เสนอความคิดเห็นและประสบการณ์ จนถีงวันนี้ไม่น่าจะมีไครแสดงความคิดเห็นอีก ผมจีงขอสรุป.
คุณ WANNEE.S กำลังตั้งใจฟังอย่างเข้าใจอยู่.
คุณ Khampan.a เป็นผู้ฟังเข้าใจอย่างดียิ่ง และเป็นผู้เดินทางถูก รอให้ถีงจุดหมายเท่านั้น เป็นคนหนุ่มอายุน้อย ถีงจุดหมายเมื่อไรอย่าลืมมาบอกกันบ้าง.
คุณ Orawan.c กำลังฟังให้เข้าใจจริงๆ ทาง ตา หู จมูก ลี้น กาย ใจอย่าพยายามมากเกินไปนะครับ ควรจะเบาสบายดีกว่า.
คุณ Suwit02 แบ่งบุญไป จากคำว่า สาธุ
คุณ วันชัย๒๕๐๔ กำลังฟังบ่อยๆ เนืองๆ ในสี่งที่มีจรีง ขอให้โชคดี
คุณ appologize ฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็น อนัตตา ฟังไปเรื่อยๆ เมื่อสังขารมีกำลังและเหตุสมควรแก่ผลก็จะเข้าใจเอง ไม่มีเราฟัง ก็ขออนุโมทนา แต่ขออย่าไห้เป็นเพียง HEARING นะครับ.
คุณ Yupa ฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ยังได้ประโยชน์เพราะชีวิตดีขี้น แล้วถ้าฟังเข้าใจจะเป็นยังไงหนอ.
คุณป้า C.pongsiri กำลังเจริญปัญญาเป็นทีพึ่งโดยการฟังธรรมะ.
คุณ Pararawee แบ่งบุญไป.
คุณ เมตตา ขออนุโมทนาที่มีพี่สาวคุณกุสุมาพาเดินทาง เมื่อรู้ว่าทางนี้ถูกก็ต้องเดินต่อ.
คุณ ปทปรม ฟังด้วยศรัทธา วิริยะ ขันติ ฉันทะ และ การพิจารณาสิ่งที่ฟัง ระวังการพิจารณาจะปิดบังสภาพธรรม.
คุณ Happyindy ตอนนี้ไม่ฟังไป สอนหนังสือไป ทำกับข้าวไป และเลี้องลูกไปแล้ว ขอให้เข้าใจ ขอให้เข้าใจ.
คุณนวล Listen Listen not hear.
จ่าหนาน คงได้รับ ชีดี จากคุณเมตตาแล้วนะ.
คุณ เชจาน้อย ได้บุญอีกแล้วนะ.
ป้าจาย ป้าจายเทน้ำถ้วยเก่าออกแล้วรับน้ำใหม่ ตอนนี้มั่นคงแล้ว ไชโย ไชโย.
คุณ baramees ยังสับสนอยู่ น่าจะหากัลยาณมิตรแนะนำ ความจริงน่าจะรู้ตามความคิดเห็นต่างๆ ข้างบนนี้ เพราะประสบการณ์ต่างๆ ข้างบนนี้มีคุณค่ามากเพราะเสียเวลาไปมากก่อนจะได้มา บอกให้ก็ได้ว่าพบอาจารย์นี้มีบุญมาก ถ้าไม่ฟังต่อก็เสียดายบุญ.
ที่ผมตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา "ฟังอ.สุจินต์อย่างไรจึงเข้าไจ" เพราะสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นมาจากพระไตรปิฎก ธรรมดาอาจารย์ทีสอนนั้นจะมี style หรือรูปแบบการสอนถ้าเข้าใจรูปแบบการสอนของอาจารย์แล้วก็จะเข้าใจอาจารย์ได้ดีขึ้น เท่าที่ผมเข้าใจท่านอาจารย์สอนแบบไม่มีรูปแบบ (ผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้) คือไม่มีก่อนหลัง และสอนปรมัตถ์ล้วนๆ มีแต่ทางปรมัตถธรรมไม่ไช่ทางโลก และถ้าเราฟังแบบทางโลกก็จะฟังไม่รู้เรื่อง ต้องฟังให้เป็นธรรมะไม่ไช่เรา อีกอย่างท่านสอนแบบทางโลกไม่ได้ เพราะจะไม่ตรงตามพระไตรปิฏก. ผมก็ยังหาทางที่จะเข้าใจอาจารย์อยู่ดี
ขอขอบพระคุณทุกท่านครับ.
ผู้พร่ำสอนธรรมะ คือ ผู้ให้อมตธรรม
ขอกราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้พร่ำสอนธรรมะ ด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตาค่ะ
ยังไม่จบครับ
ยังมีผมอีกหนึ่งคนครับ ที่จะแสดงความคิดเห็นครับ
ขอให้ตั้งใจจริงที่จะศึกษา พยามยามศึกษาไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ
หากสงสัยก็หมั่นถามกัลยาณมิตรผู้ที่รู้ธรรมจากอาจารย์สุจินต์อย่างสม่ำเสมอ
ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านครับ
ตั้งใจฟังโดยไม่ห่วงกังวลว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เท่าที่จะเข้าใจได้ธรรมไม่ใช่เรื่องง่ายที่สำคัญ...อย่าขาดการฟัง (ธรรม)
เรียนพี่ choonj ที่นับถือ การบรรยายพระธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์นั้นท่านสอนยึดตามพระไตรปิฎกอย่างที่พี่ choonj พูดไว้ เพราะเมตตามีโอกาสเข้าไปฟังการสนทนาวิชาการของคณะท่านวิทยากรและท่านอาจารย์ แม้แต่คณะชาวต่างชาติที่มาสนทนาธรรม ทุกครั้งที่ข้อธรรมไม่ชัดเจน ท่านอาจารย์ให้ค้นหาความถูกต้องชัดเจนจากพระไตรปิฏก และอรรถกถาเสมอ
ท่านอาจารย์จะมีความเมตตาและอดทนอย่างสูงที่จะอธิบายให้พวกเรามีความเข้าใจในธรรมที่ถูกต้องให้เข้าใจถึงอรรถธรรมในชีวิตประจำวัน ขณะนี้ ขณะเห็น ขณะได้ยินขณะได้กลิ่น ขณะลิ้มรส ขณะคิดนึก ขณะกระทบสัมผัส ว่าอะไรเป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวัน (ที่พี่choonjบอกแบบทางโลก) ท่านจะอดทนที่จะอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้พวกเราเข้าถึงลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง (ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม) เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจะได้อบรมเจริญปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม คือจิต เจตสิก รูป "โลกก็ไม่มี" ฉะนั้นเราควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจและพิจารณาให้รอบคอบในสิ่งที่ได้ฟังให้เกิดความเข้าใจจริงๆ
ขออนุโมทนาพี่ choonj ที่ยังหาทางที่จะเข้าใจ ท่านอาจารย์ขอให้พี่choonjมีความอดทนในการฟังพระธรรมต่อไป พิจารณาให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้อะไรเป็นธรรมะ (สภาพตามความเป็นจริงซึ่งก็คือปรมัตถ์ล้วนๆ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา) ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่ท่านอาจารย์สอน (แบบทางโลกที่พี่ choonj พูดถึง) ซึ่งท่านสอนตรงตามพระไตรปิฎกค่ะ
ขอบคุณ เมตตา ทีเสนอความคีดเห็นถึงผม แต่หลังจากอ่านแล้วก็อยากจะบอกเมตตาอีกนิดเดียวเพื่อให้เข้าใจดีขี้นว่า ทางโลกที่ผมหมายถึงคือ มีตัวตน แบบที่ผู้ไม่ได้เรียนธรรมะจะเข้าใจ ส่วนโลกทีเป็นปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูปนั้นอีกอย่างหนึ่ง เมตตาคงเข้าใจตรงกับผมว่า ถ้าฟังแบบทางโลกที่ผมหมายถึงก็จะไม่เข้าใจปรมัตถ์ที่อาจารย์สอน. ขอกระซิบว่าจริงๆ แล้วผมเลิกหาทางแล้ว แต่เมื่อความคิดเกิดก็เหมือนหาทาง.
ขออนุโมทนาครับ