ดังจะเห็นจากที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปลงอายุสังขารก็ดี แม้แต่ท่านพระ สารีบุตร ก็ทราบว่า ท่านจะต้องมรณภาพอีก ๗ วันจากวันที่ท่านตรวจอายุของท่าน จึงใคร่ขอเรียนถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะล่วงรู้จุติจิต หรือวันตาย หรือเพียงแต่ทราบ วันตาย แต่ไม่ทราบจุติจิต ขอความกระจ่างครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สำหรับผู้มีปัญญามาก ดังเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงรู้ทุกอย่าง และ อัครสาวก มีท่านพระสารีบุตร ผู้เป็นเลิศด้านปัญญา ย่อมมีปัญญา สามารถรู้ว่าท่านจะต้องจุติวัน ไหนและเวลาใ ขณะใดด้วยครับ เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามากนั่นเอง ซึ่งกระผมขอยก ตัวอย่างในเรือ่งการู้ตัวของบุคคลต่างๆ ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎก ก็ยังแสดงถึงแม้แต่ ตอนที่จะปฏิสนธิ (การก้าวลงสู่ครรภ์) ตอนที่อยู่ในครรภ์และตอนจะออกจากครภ์ พระ โพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีปัญญา ย่อมมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัว แม้ขณะที่ ปฏิสนธิ (ก้าวลงสู่ครรภ์) ขณะที่ก้าวลงสู่ครรภ์และแม้ตอนออกจากครรภ์คือประสูติ ท่าน มีความรู้ตัว มีสัมปชัญญะเสมอครับ ทั้ง 3 กาล ส่วน สัตว์บางพวก ปฏิสนธิ คือ ก้าวลงสู่ ครรภ์ก็ไม่รู้ตัว อยู่ในครรภ์ก็ไม่รู้ และออกจากครรภ์ก็ไม่รู้ตัว ไม่มีสัมปชัญญะ นี่คือ ปุถุชน ผู้ไม่มีปัญญาทั้งหลาย เป็นอย่างนี้ครับ แต่สัตว์บางพวก ก้าวลงสู่ครรภ์รู้ตัว แต่อยู่ใน ครรภ์ หรือ คลอด ออกจากครรภ์ไม่รู้ตัว นี่ก็คือ พระอริยสาวก ผู้เลิศทั้งหลาย แต่สัตว์ บางพวก ก้าวลงสู่ครรภ์ก็รู้ตัว อยู่ในครรภ์รู้ตัว แต่ตอนคลอดออกจากครรภ์ไม่รู้ต้ว นี่คือ พระอัครสาวกและพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลายครับ จากตัวอย่างที่กระผมกล่าวมา เพื่อ แสดงให้เห็นว่า สัตว์โลกมีปัญญาแตกต่างกันไป ผู้ที่มีปัญญามาก ย่อมทราบความ ละเีอียดของจิต ของความเป็นไปในสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่งก็รวมทั้ง การพิจารณาการจุติ คือ เวลาตายของเหล่าสัตว์ ผู้มีปัญญามาก เช่น พระพุทธเจ้า อัครสาวก มีท่านพระสารีบุตร ท่านก็ย่อมทราบเวลาตาย (จุติ) และเวลา ขณที่ะีจะจุติของท่านได้ว่าขณะ เวลาไหน อย่างไรครับ ไม่ใช่เพียงรู้ว่ากี่วัน แต่รู้ว่าขณะที่จะจุติเวลาไหนด้วยครับ เพราะความที่ ท่านมีปัญญามากนั่นเอง แต่ผู้มีปัญญาน้อย หรือไม่มีัปัญญาก็ไม่สามารถทราบได้ เพราะ ความเป็นผู้มีปัญญาน้อยนั่นเองครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แตกต่างกัน ตามระดับขั้นของปัญญาจริงๆ บุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอริยสาวกทั้งหลาย ก็มีกำลังปัญญาแตกต่างกันตามการสะสม ซึ่งจะไม่เหมือนกันผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยกิเลสอย่างแน่นอน จึงเป็นธรรมดาของท่านเหล่านั้นที่จะสามารถรู้ถึงขณะที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ได้
ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกอันความตายครอบงำไว้ ไม่มีใครพ้นจากความตายไปได้เลย ถูกความตายครอบงำไว้จริงๆ หนีไปทางไหน ก็ไม่สามารถพ้นไปได้ เพราะเหตุว่า สัตว์โลกทั้งหลายเมื่อเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย ม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด ไม่ว่าจะอยู่ถึงสวรรค์ชั้นใดก็ตาม ความตายก็ครอบงำไว้ เพราะความจริง คือสัตว์โลกทั้งหมดที่เกิดมาแล้วจะต้องตาย หนีความตายไม่พ้นเลย ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องตาย แต่ก่อนที่จะตาย ซึ่งก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นวันใด เวลาใด นั้น ก็ควรที่จะได้ประโยชน์จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด แสวงหาสิ่งที่เป็นสาระให้กับชีวิตให้มากที่สุด ประโยชน์หรือสาระที่ว่านั้น ได้แก่ ความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง อันเกิดจากการฟัง การศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะต้องสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป จนกว่าจะถึงการดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด นี่แหละ คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจาย์ผเดิม อาจารย์คำปั่น และทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
คือ หมายความว่าท่านทั้งหลายที่มีปัญญามาก สามารถที่จะรู้จิตที่ยังไม่มาถึงได้ใช่มั้ย ครับ แล้ว จะเข้ากับข้อความที่ว่า ขณะต่อไป จิตจะคิดอะไร จะเห็นอะไร ก็ไม่รู้ เพราะ ความอนัตตา แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น กลับทราบ จุติจิตที่ยังมาไม่ถึงด้วย เพราะเหตุไร จึงเป็นเฃ่นนั้นได้ หรือว่าเป็นปกติของผู้ทรงฌาน และญาณครับ
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
ถ้าผู้มีปัญญามากก็สามารถรู้ได้ ส่วนข้อความที่อธิบายว่า จิตอะไร ขณะใดก็ไม่รู้ มุ่งหมาย ถึงผู้ไม่มีปัญญามาก ดังนั้น เป็นอนัตตาเพราะต้องอาศัยเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไมไ่ด้ ผู้ที่มี เหตุคือมีปัญญามาก ก็สามารถรู้ได้ จะไม่ให้รู้ก็ไม่ไ่ด้ นี่แสดงถึงการบังคับบัญชาไมไ่ด้ ที่จะ ไม่ให้รู้ก็ไม่ได้ เพราะมีปัญญามากแล้ว ส่วนผู้ที่ไม่มีเหตุคือปัญญามาก จะบังคับให้รู้เหมือน ผู้มีปัญญามากก็ไมไ่ด้ เพราะไม่มีเหตุ แสดงถึงความเป็นอนัตตาที่บังคับบัญชาไม่ได้และ ต้องอาศัยเหตุ จึงจะรู้ได้ ธรรมจึงเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เราและบังคับบัญชาไม่ไ่ด้ เป็นอนัตตาด้วยประการฉะนี้ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนาครับ