จากการบรรยายแนวทางวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๕๐๗ และ ๑๕๐๘ ท่านอาจารย์อธิบายว่า
สำหรับเรื่องของท่านพระภิกษุ ๕๐๐ รูป ที่ได้ฆ่าตัวตายที่เมืองเวสาลี ถ้าพิจารณาโดยปรมัตถธรรม จะต้องมีวิถีจิตเกิดก่อนจุติจิต เพราะเหตุว่าความตายจะมีถึงในขณะไหนไม่มีนิมิตล่วงหน้าเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ก็ไม่ทราบได้ว่า ก่อนที่จุติจิตจะเกิด จะเป็นวิถีจิตทางตาที่เห็น หรือว่าเป็นวิถีจิตทางหูที่ได้ยินเสียง หรือว่าเป็นวิถีจิตทางจมูกที่ได้กลิ่น เป็นวิถีจิตทางลิ้นที่ลิ้มรส เป็นวิถีจิตทางกายที่กระทบสัมผัส หรือเป็นวิถีจิตทางใจที่คิดนึกเรื่องราวต่างๆ เมื่อวิถีจิตดับหมดแล้ว เป็นภวังคจิต หรือเป็นตทาลัมพนจิต หรือว่าแม้จะไม่มีตทาลัม-พนจิต ไม่มีภวังคจิต เมื่อวิถีจิตดับหมดแล้ว จุติจิตก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาโดยสภาพความเป็นปรมัตถธรรม ไม่ว่าจะตายโดยวิธีไหนทั้งสิ้น คือ เห็น แล้วจุติจิตก็เกิดต่อจากวิถีจิต หรือว่าทางกายซึ่งกำลังกระทบสัมผัสสิ่งซึ่งไม่น่าพอใจ ทำให้เกิดทุกขเวทนา ความปวดเจ็บมากมายต่างๆ ความป่วยไข้ ก็คือวิถีจิตทางกาย ดับหมดแล้ว จุติจิตก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาโดยสภาพของปรมัตถธรรมแล้ว ก็ไม่ต่างกับขณะหนึ่งขณะใดกับขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุว่าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีการรับผลของอกุศลกรรมทางกาย เช่น การป่วยไข้ หรือว่าความเจ็บปวด เมื่อมีกายแล้ว ก็จะต้องมีทุกขเวทนา ปวดตา ปวดหู ปวดจมูก ปวดอวัยวะส่วนต่างๆ มีการเจ็บไข้ โรคภัยต่างๆ ชนิด ซึ่งในขณะที่ยังไม่ตาย ก็เป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่เมื่อจะจุติ คือ จะสิ้นชีวิต บางท่านอาจจะมีทุกขเวทนาทางกายมาก ก็เหมือนกันกับก่อนที่จะตาย ไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย จะตายหรือไม่ตาย อกุศลวิบากทางกายก็เกิด เพราะฉะนั้น ถ้าจะตายโดยที่มีอกุศลวิบากทางกายปวดเจ็บทรมาน เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เหมือนกับขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ว่าจุติจิตเกิดต่อจากนั้น แล้วก็เปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลนั้น เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการตายโดยอาการอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าจะเป็นการเห็น การได้ยินสิ่งที่ไม่น่าพอใจ การได้กลิ่นที่ไม่น่าพอใจการลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจ การกระทบสัมผัสที่ไม่น่าพอใจ ก็เหมือนกับขณะที่ยังไม่ตายนั่นเอง เพียงแต่ว่าจุติจิตยังไม่ได้เกิดขึ้น ยังไม่ได้ทำกิจทำให้สูญสิ้นสภาพของความเป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ควรที่จะคิดว่า พร้อมหรือยังเท่านั้นเอง ใช่ไหมคะ ผู้ที่ไม่ประมาทก็ย่อมจะเพียงแต่คิดว่า ความตายไม่ใช่เรื่องเล่นค่ะ ความตายเป็นเรื่องจริง ต้องเกิดแน่นอน และก็จะเกิดหลังจากที่วิถีจิตดับไปแล้ว ทุกขณะได้หมด และก่อนจะจุติ บางคนก็อาจจะมีโลภะมาก บางคนก็อาจจะมีโทสะมาก บางคนก็อาจจะมีกุศลมาก ก็เหมือนกับก่อนจะตายเหมือนกัน คือ ก่อนจะตายคนที่โกรธจัดๆ ก็มีเหตุปัจจัยที่จะให้โกรธจัดโกรธรุนแรงเมื่อยังไม่ตาย และถ้าจะตาย ถ้าจะมีเหตุปัจจัยที่จะให้โทมนัสเกิดอย่างรุนแรง ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเหมือนกับก่อนจะตาย ที่ยังไม่ตาย ก็ยังมีโทสะได้แรงกล้าถึงอย่างนั้
เพราะฉะนั้น ถ้าจุติจิตเกิดต่อจากนั้น ก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาจริงๆ สำหรับผู้ที่พิจารณาลักษณะของปรมัตถธรรม แล้วก็รู้ว่า ความตาย คือ จุติจิต ซึ่งเกิดขึ้นขณะเดียว หลังจากที่วิถีจิตทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทางนี้ดับ ส่วนการที่จะเกิดโลภะก่อนจุติ หรือจะเกิดโทสะก่อนจุติ หรือจะเกิดกุศลจิตก่อนจุติ ก็เหมือนกับชีวิตประจำวันนั่นเอง ถ้าเป็นโดยลักษณะนี้ ทุกท่านก็น่าจะพิจารณาว่า เมื่อจะต้องตายโดยอาการอย่างไรๆ ก็แล้วแต่ จะโดยอุบัติเหตุ หรือโดยเจ็บไข้ได้ป่วยก็ตาม พร้อมหรือยังที่จะตาย ถ้าเป็นผู้ที่พร้อม ก็คือเป็นผู้ที่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม แล้วก็ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่าก็เหมือนทุกๆ วัน เพียงแต่ว่าสิ้นสุดสภาพของความเป็นบุคคลนี้ แล้วกรรมหนึ่งก็ทำให้ปฏิสนธิเกิดสืบต่อ ไม่จบสิ้น ถ้ายังไม่ได้ดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ทราบว่า ความตายจะมาถึงโดยลักษณะใด ควรที่จะเป็นผู้พร้อมคือ เจริญเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความตายในลักษณะใดก็ตาม ปัญญาสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้ว่ายังไม่ถึงการบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่กุศลจิตที่เป็นญานสัมปยุตต์ที่เกิดก่อนจุติ ก็จะเป็นชนกกรรมที่จะทำให้ญาณสัมปยุตต์ปฏิสนธิได้ ซึ่งก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ และทุกคนหวังที่จะเป็นอย่างนั้น แต่ที่จะเป็นได้เหมือนอย่างท่านพระโคธิกะ หรือแม้แต่สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมก่อนที่จะจุติได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน นั่นคือผู้ที่พร้อมที่จะตาย
ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย อ่านกระทู้แล้วถามว่าพร้อมตายหรือยัง กระทู้ให้อารมณ์ว่า ความตายไม่น่ากลัวเป็นการจุติแล้วก็ปฎิสนธิก็เกิดไหม่ ขอให้เจริญกุศล สติปัฎ-ฐาน จริงๆ แล้วเมื่อความตายจะมาก็กลัวกันทุกคน เป็นสัญชาตญาณของสัตว์โลกรักชีวิต แม้แต่เกิดเป็นสัตว์หรือสัตว์นรกก็ยังรักชีวิต ทีนี้จะทำยังไงเมื่อความตายต้องมาความกลัวก็มี ถ้าไม่ศึกษาธรรมก็หมดทางก็ต้องกลัวสถานเดียว ถ้าศึกษายังพอมีทางมีทางยังไงสติปัฎฐานเกิดยาก ก็ลองความเห็นนี้ดูว่าพอที่จะถูไถไปได้ไหม
ผู้ศึกษาก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคลตัวตน ไม่ใช่เรา รู้อย่างนี้ก็ไม่ใช่เหมาเอาแบบท่องจำ แต่ต้องมีปรกติระลึกว่าเป็นธรรม ใหม่ก็ไม่เป็นธรรม แต่เมื่อบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะมีกำลัง จะสังเกตได้เมือมีกำลังมากขึ้น คือไม่คอยเดือดร้อนเท่าไหร่ เมื่อมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมเกิดแล้วก็ดับ หาสาระไม่ได้ ไม่เดือดร้อนแสดงว่ามีกำลังแล้วก็จะมีเพิ่มขึ้นเรือยๆ เมือมีการระลึกบ่อยๆ เป็นทุนไว้ ที่นี้เวลาจะตาย ก็มีอารมณ์อยู่ สามอย่าง คือ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์คตินิมิตอารมณ์ ก็คืออารมณ์ก่อนตาย จะไปดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่อารมณ์นี้แหละ ถ้าเป็นอารมณ์ดีก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าเป็นอารมณ์ไม่ดีก็ไม่เป็นปัญหาอีกเพราะมีทุนทีมีกำลังที่สังสมไว้ ว่าเป็นธรรม เกิดแล้วก็ดับหาสาระไม่ได้ รู้ว่าเป็นธรรมก็เป็นกุศลจิต เมื่อเป็นกุศลก็ไปดี แต่ถ้ากรรมหนักให้ผลเป็นอกุศลก็ช่วยไม่ได้ ครับ ถ้าจะให้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นก็ต้องเป็นสติปัฎฐานเป็นโสดาบัน ก็ต้องยังงี้แหละครับตามมีตามได้ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยอุ่นใจได้บ้าง ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานนั่นคือผู้ที่พร้อมที่จะตาย
แต่ละท่านก็รู้ตนเองดีว่า ท่านเป็นผู้ที่พร้อมที่จะตายหรือยัง ท่านเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฎฐานหรือยัง ในชีวิตประจำวัน ทันทีที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ส่วนมากเป็นอกุศลทั้งวัน...ไม่ติดข้องพอใจ ก็ขัดเคืองใจ...ยังประมาทอยู่มาก...ท่านพร้อมหรือยังที่จะตาย...
สาธุ
ญาติผมที่กำลังป่วยหนัก ไม่สนใจสมบัติหรือเรื่องในวงศาคณาญาติอีกเลยนอกจากการ ฟังพระธรรม เพราะเพิ่งได้เห็นได้เข้าใจสาระสำคัญก็ตอนที่ใกล้จะตายนี้เอง
ขณะที่ตายตือขณะที่จุติจิตเกิดขึ้นเป็นชาติวิบาก ขณะที่เจ็บเกิดขึ้น ไม่ใช่ขณะที่ตาย เจ็บไม่ใช่จุติจิตดังนั้นที่กลัวกันคือกลัวเจ็บ กลัวการพลัดพราก เพราะยึดถือว่าเป็นเราจึงเป็นอย่างนี้
ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ที่จะให้ก่อนตายเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา แต่ก่อนตายผู้มีปัญญาย่อมสะสมเหตุที่ดีคือการเจริญกุศลทุกประการและการฟังธรรม อบรมเจริญปัญญา ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมว่าเป็นอนัตตา พร้อมที่จะตายจึงเป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒- หน้าที่ 115
"นายมาลาการพึงทำพวงดอกไม้ให้มาก จากกองดอกไม้ แม้ฉันใด; มัจจสัตว์ผู้มีอันจะพึงตาย เป็นสภาพ ควรทำกุศลไว้ให้มาก ฉันนั้น."
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
พร้อมหรือยังที่จะตายถ้าเป็นผู้ที่พร้อม ก็คือเป็นผู้ที่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมแล้วไม่หวั่นไหว ควรที่จะเป็นผู้พร้อมคือ เจริญเหตุไม่ว่าจะเป็นความตายในลักษณะใดก็ตาม ปัญญาสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาหรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจสติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมก่อนที่จะจุติได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน นั่นคือผู้ที่พร้อมที่จะตาย
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ