[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 21
๗. สุปปติสูตร
ว่าด้วยสําเร็จสีหไสยาสน์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 21
๗. สุปปติสูตร
ว่าด้วยสำเร็จสีหไสยาสน์
[๔๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกรมอยู่กลางแจ้งเกือบตลอดราตรีในเวลาใกล้รุ่ง ทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าพระวิหารทรงสำเร็จสีหไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทรงเหลี่อมพระบาทด้วยพระบาท ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงทำความหมายในอันจะเสด็จลุกขึ้นไว้ในพระทัย.
[๔๓๕] ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระคาถาว่า
ท่านหลับหรือ ท่านหลับเสียทำไมนะ ท่านหลับเป็นตายเทียวหรือนี่ ท่านหลับโดยสำคัญว่า เรือนว่างเปล่ากระนั้นหรือ เมื่อตะวันโด่งแล้ว ท่านยังจะหลับอยู่หรือนี่.
[๔๓๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
พระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีตัณหาดุจข่าย อันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ สำหรับจะนำไปสู่ภพไหนๆ ย่อมบรรทมหลับ เพราะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 22
ความสิ้นไปแห่งอุปธิทั้งปวง กงการอะไรของท่านในเรื่องนี้เล่ามารเอ๋ย.
ครั้งนั้น มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.
อรรถกถาสุปปติสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสุปปติสูตรที่ ๗ ต่อไป :-
บทว่า ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ได้แก่ ทรงล้างพระบาทเพื่อให้ยึดถือธรรมเนียมไว้. ก็ผงธุลี ย่อมไม่ติดในพระสีรระของพระพุทธะทั้งหลาย. แม้แต่น้ำก็กลิ้งไปเหมือนน้ำที่ใส่ในใบบัว. อีกนัยหนึ่ง การล้างเท้าในที่ล้างเท้าเข้าบ้าน เป็นธรรมเนียมของนักบวชทั้งหลาย ธรรมดาพระพุทธะทั้งหลาย ชื่อว่า ไม่ทรงทำลายธรรมเนียมในข้อนั้น ก็พระพุทธะทั้งหลาย ตั้งอยู่ในหัวข้อแห่งธรรมเนียมย่อมล้างพระบาท. จริงอยู่ ถ้าพระตถาคต ไม่พึงสรงน้ำไม่ล้างพระบาทไซร้ คนทั้งหลายก็จะพึงพูดว่า ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงละเลยกิริยาของมนุษย์ จึงทรงล้างพระบาท. บทว่า สโต สมฺปชาโน ได้แก่ทรงประกอบด้วยสติสัมชัญญะ ที่กำหนดเอาความหลับเป็นอารมณ์. ด้วยบทว่า อุปสงฺกมิ ท่านกล่าวว่า มารคิดว่า พระสมณโคดม ทรงจงกรมในที่แจ้งตลอดคืนยังรุ่ง แล้วเข้าพระคันธกุฏี บรรทม คงจักบรรทมเป็นสุขอย่างเหลือเกิน จำเราจักแกล้งเธอ แล้วจึงไปเฝ้า.
ด้วยบทว่า กึ โสปฺปสิ มารกล่าวว่า ท่านหลับหรือ การหลับของท่านนี้เป็นอย่างไร. บทว่า กึ นุ โสปฺปสิ ได้แก่ เพราะเหตุไร ท่านจึง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 23
หลับ. บทว่า ทุพฺภโต วิย ได้แก่ หลับเหมือนตาย และหลับเหมือนสลบ.ด้วยบทว่า สุญฺมคารํ มารกล่าวว่าท่านหลับด้วยคิดว่า เราได้เรือนว่างแล้วหรือ. บทว่า สุริเย อุคฺคเต ความว่า เมื่อตะวันโด่งแล้ว ก็บัดนี้ ภิกษุทั้งหลาย กำลังกวาด ตั้งน้ำฉันเตรียมตัวไปภิกขาจาร เหตุไร ท่านจึงยังนอนอยู่เล่า.
บทว่า ชาลินี ความว่า ตัณหา ชื่อว่า ดุจข่าย โดยข่ายอันเป็นส่วนของตน ซึ่งครอบงำภพทั้งสาม ตามนัยที่ว่า ชื่อว่าตัณหาวิจริต ๑๘ เพราะอาศัยอายตนะภายในเป็นต้น. บทว่า วิสตฺติกา ได้แก่ ตัณหาที่ชื่อว่าซ่านไป เพราะซ่านไปในอารมณ์มีรูปเป็นต้นในภพนั้นๆ เพราะมีรากเป็นพิษและเพราะบริโภคเป็นพิษ. บทว่า กุหิญฺจิ เนตเว ได้แก่ เพื่อนำไปในที่ไหนๆ .บทว่า สพฺพูปธีนํ ปริกฺขยา ได้แก่ เพราะสิ้นอุปธิทั้งหมด ต่างโดยเป็นขันธ์ กิเลส อภิสังขารและกามคุณ. บทว่า กึ ตเวตฺถ มาร ความว่า ดูก่อนมาร ประโยชน์อะไรของท่านในเรื่องนี้เล่า เหตุไร ท่านจึงเลาะริมรั้วติเตียน เหมือนแมลงวันตัวเล็กๆ ไม่อาจซ่อนตัวอยู่ในข้าวต้มที่ร้อนๆ ได้.
จบอรรถกถาสุปปติสูตรที่ ๗