สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นพยาน ในการที่พระองค์ตรัสรู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่มีคุณด้วย โดยให้ได้ระลึกรู้เพื่อขัดเกลากิเลส ขออุทิศสิ่งที่ปรากฏ เพื่อบูชาในการตรัสรู้ของพระองค์ ไม่ทราบว่าคิดอย่างนี้ถูกต้อง เหมาะสมไหมครับ หากใช้คำไม่ถูกต้องก็แก้ไขเพิ่มเติมได้เลย ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่พ้นไปจาก สิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงๆ นั้น มีจริงๆ ในขณะนี้ และก็หลากหลายมาก เป็น จิต เจตสิก และรูป เป็นแต่ละหนึ่งๆ จิตไม่ได้มีประเภทเดียว จิตที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นกิริยาก็มี เจตสิก ก็มีถึง ๕๒ ประเภท ที่เป็นเจตสิกที่ดีงามก็มี ที่ไม่ดีงามก็มี และเป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตใด ก็มีความเสมอกันกับจิตประเภทนั้นๆ ก็มี และรูปธรรมก็มีทั้งหมด ๒๘ รูป ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ
เป็นความจริงที่ว่า สิ่งที่ควรขัดเกลา ที่ควรละ ก็คือ กิเลสอกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งถ้าไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจพระธรรมเลย ก็ย่อมไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลส โดยเฉพาะ อวิชชา ความไม่รู้ ได้ และสิ่งที่ควรเจริญให้มากขึ้น ก็คือ กุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา
กิจที่ควรทำ ที่เป็นภาระที่สำคัญของแต่ละบุคคล ก็คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เข้าใจในสภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา การที่บอกว่า ขออุทิศสิ่งที่ปรากฏ เพื่อบูชาในการตรัสรู้ของพระองค์ ย่อมไม่ถูกต้อง แต่ควรที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้เข้าใจ ยิ่งเข้าใจ ก็จะยิ่งซาบซึ้งในพระปัญญาคุณของพระองค์ เห็นความบริสุทธิ์ของพระธรรมแต่ละคำๆ ที่พระองค์ทรงแสดงว่าเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังมี กําลังปรากฏ โดยตลอด เป็นไปเพื่อปัญญา โดยตลอด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ คือ ตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริง ด้วยพระปัญญา ว่า ความจริงมีแต่เพียง สภาพธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่งความเป็นจริง ที่พระองค์ตรัสรู้ คือ นามธรรม และรูปธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ดังนั้น คำว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังปรากฏกับใคร ก็คือ กำลังปรากฏกับจิต คือ เป็นอารมณ์ เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ เรียกว่า สิ่งที่มีจริง กําลังปรากฏ และสิ่งที่มีจริง ก็มีทั้งรูปธรรม ที่เป็นรูปอย่างเดียว เช่น สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น และนามธรรมที่เป็น พระนิพพาน จิต เจตสิก และ จิต เจตสิก ก็มีทั้งจิตที่ดีมีกุศลจิต เป็นต้น จิตที่ไม่ดีมีอกุศลจิต เป็นต้น และเจตสิกที่ดีก็มี เจตสิกที่ไม่ดีก็มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ จึงไม่จำเป็นจะต้องมีคุณเสมอไป เป็นโทษก็ได้ เพราะ มีทั้งสภาพธรรมที่ไม่ดีด้วย ที่กำลังมี กำลังปรากฏ แต่สิ่งที่มีคุณ คือ นำมาซึ่งประโยชน์ คือ จิตที่ดี และเจตสิกที่ดี มี ปัญญา สติ และศรัทธา เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มีคุณ เพราะสามารถทำให้รู้ความจริงและละคลายกิเลส ขัดเกลากิเลสที่ไม่มีคุณ มีแต่โทษได้ ครับ
ส่วนการอุทิศสิ่งที่ปรากฏ เพื่อบูชาคุณพระรัตนตรัย ตามที่กล่าวแล้ว สิ่งที่กำลังเกิดมีจริง มีทั้งอกุศลคือสิ่งที่ไม่ดีก็ได้ พระพุทธองค์ไม่ปรารถนาให้สาวกเกิดอกุศลจิต เพราะเห็นโทษของอกุศลธรรม ดังนั้น จึงไม่สามารถอุทิศสิ่งที่ปรากฏ ที่มีอกุศลจิต เป็นต้น เพื่อบูชาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้ ครับ
ซึ่งการอุทิศ ใช้สำหรับสัตว์โลกผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ที่อยู่ในฐานะที่รับได้ มีเปรต เป็นต้น ส่วนพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ จึงไม่ต้องอุทิศไปให้พระพุทธเจ้า ครับ
ส่วนประเด็น การบูชาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบูชาเราที่ประเสริฐ คือบูชาด้วย ธรรมบูชา ปฏิบัติบูชา คือกุศลจิต ที่เกิดพร้อมปัญญา ที่เกิดจากความเข้าใจพระธรรมของตนเอง เป็นเครื่องบูชาที่ประเสริฐ ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูต่อบิดาคือพระพุทธเจ้า ที่มอบทรัพย์คือมรดก คือพระธรรม และปฏิบัติตามด้วยความเข้าใจพระธรรม ชื่อว่าบูชาพระพุทธองค์ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
๑. ถ้าเปลี่ยนจากคำว่า อุทิศ เป็นคำอื่นได้ไหมครับ เช่น คิดถึงคุณของพระองค์ครับ หากไม่ใช่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่อุทิศ คือการนึกคำว่าอุทิศ สภาพจิต อาจไม่ใช่อุทิศจริงๆ แต่นึกถึงคุณของพระองค์ ครับ อาจใช้คำไม่ตรงกับที่ต้องการสื่อสารครับ หากคิดสิ่งใดแล้วกุศลจิตเกิดก็ควรนึกใช่ไหมครับ ถ้าไม่ใช่การระลึกรู้ ... ไม่สามารถใช้คำที่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น คำว่า อุทิศ ... อกุศลจิตเกิด เป็นคนละขณะกับการนึกถึงคำว่าอุทิศแต่เกิดกุศลจิต อย่างนี้จะเรียกว่าอย่างไรครับ
๒. ถ้าอกุศลเกิด จะโยนิโสมนสิการอย่างไรครับ โดยการคิดนึก ขออภัยรูปนาม หรือให้อภัย รูปนามได้ไหม ถ้าไม่ใช่การระลึกสภาพธรรม ถ้ากุศลจิตเกิด ก็ควร ใช่ไหมครับ หรือมีความเห็นว่าอย่างไรครับ
๓. แล้วผมต้องเปลี่ยนจากการนึกคำว่า อุทิศ เป็นการนึกถึงคำว่าคุณของพระองค์หรือเปล่าครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
เรียน ความเห็นที่ 6 ครับ
๑. ขณะใดที่ระลึกถึง คุณพระพุทธองค์ ขณะนั้นเป็นกุศลจิต เป็นพุทธานุสสติ โดยไม่ต้องใช้คำว่าอุทิศ เพราะ การอุทิศ คือ อุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
๒. ไม่มีการบังคับให้กุศลจิตเกิด แล้วแต่ว่ากุศลจิตจะเกิดหรือไม่ เวลาไหน ครับ เพราะฉะนั้น ไม่มีรูปแบบที่จะทำให้กุศลจิตเกิด โดยโยนิโสมนสิการอย่างไร ครับ
๓. สำคัญที่จิต ไม่ต้องใช้คำว่าอุทิศ แต่จิตนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ก็เป็นกุศลในขณะนั้นแล้ว ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ