เช่น ขณะที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมของ "แข็ง" ว่าไม่ใช่เรา สติระลึกรู้และปัญญาเกิดรู้ลักษณะของรูปธรรมและนามธรรมในขณะนั้น ฉะนั้นโลกของ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึก ย่อมไม่ปรากฏใช่มั้ยครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตเกิดขึ้นย่อมมีสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่า อารมณ์ และ มีเพียงอารมณ์เดียวในขณะจิตนั้น ขณะที่เห็น มี สีเป็นอารมณ์ ขณะนั้น ไม่ได้มีสิ่งอื่นเป็นอารมณ์ จิตรู้สีอย่างเดียวเท่านั้น ไม่คิดนึก ไม่ได้ยินเสียง แต่ รู้สีเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เป็นโลกแต่ละขณะ แต่ละขณะไป ตามประเภทของจิตที่เกิด ดังนั้น ขณะที่รู้แข็ง ก็ไม่ได้คิดนึก ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินเสียง แต่รู้แข็งเท่านั้น ก็มีเฉพาะโลกทางกาย คือ รู้แข็งเท่านั้นที่ปรากฏในขณะจิตนั้น โลกอื่นก็ไม่มีเลย ครับ นี่แสดงถึง ความไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรม แต่ละอย่าง ไม่มีเราแทรกตรงไหน มีแต่ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละโลก แต่ละทาง ตามความเป็นจริง หนทางการดับกิเลส จึงรู้โลกตามความเป็นจริง ในขณะที่สภาพธรรมเกิด แต่ละทาง แต่ละโลกว่าไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธรรม ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามี ความเห็นถูกก็คือ รู้ว่าเป็นธรรมะชนิดหนึ่งซึ่งปรากฏได้ทางตาเท่านั้น ไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก นี่เป็นโลกๆ หนึ่งซึ่งมีจริงๆ
เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่เห็น ขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่นเลย นี่คือความรู้ที่ต้องลึกลงไปอีก ตามความจริงเป็นอย่างนี้ กำลังเห็น ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีอะไรปรากฏเลย มีแต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้นที่ปรากฏ ถ้าไม่นึกถึงอะไรเลย ก็ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์
เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเข้าใจด้วยว่า ถ้าปัญญาที่สามารถจะประจักษ์แจ้งความจริงต้องประจักษ์อย่างนี้ว่า ไม่มีอะไรอื่น แต่ทีนี้ทุกคนทรงจำไว้หมดตั้งแต่เกิดจนตาย เต็มไปด้วยเรื่องราว ทั้งเรา ทั้งเขา เต็มไปหมด ยังมีตัวของเราที่กำลังนั่งแล้วก็เห็น นี่คือความทรงจำที่เป็นอัตตสัญญา แต่ที่จะเป็นอนัตตสัญญาได้จริงๆ คือความรู้ต้องมั่นคงด้วยสติที่ระลึก แล้วก็ทรงจำอย่างมั่นคงว่า ขณะใดที่มีสิ่งใดปรากฏทางหนึ่งทางใด ทางอื่นไม่มีทั้งหมด เพราะว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ สั้นแค่ไหน ระหว่างจิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยิน รูปดับไปแล้ว เพราะเหตุว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วจิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยินห่างกันเกิน ๑๗ ขณะ
เพราะฉะนั้น รูปที่ตัวทั้งหมดที่คิดว่า มี ถ้าไม่ปรากฏ เกิดแล้วดับแล้วหมด จึงไม่มีเรา ไม่มีเราเหลือเลย มีแต่ชั่วขณะหนึ่งที่สภาพธรรมะหนึ่งปรากฏทางตา หรือว่าปรากฏทางหู หรือว่าปรากฏทางจมูก ปรากฏทางลิ้น ปรากฏทางกาย ปรากฏทางใจ สภาพธรรมทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟัง จะปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้วเท่านั้น ตามความเป็นจริง ไม่เป็นอย่างอื่น
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็สามารถที่จะรู้หนทางว่า การที่จะละความเป็นตัวตน จากสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจได้จริงๆ นั้น ก็ด้วยการฟังจนกระทั่งเข้าใจ แล้วก็มีปัจจัยให้สติเกิด ก็ยังต้องอบรมการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏให้ตรงตามที่ได้ฟัง จนกว่าจะมีการคลายความไม่รู้ คลายการที่ถือนิมิตอนุพยัญชนะว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นเรื่องของทางใจที่คิดนึก เพราะฉะนั้นจึงเป็นจิรกาลภาวนา ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ อบรมไป
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่มีจริงๆ คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ว่าพ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ นั้น เป็นที่ตั้งให้สติปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ได้ ขณะที่ระลึกรู้สภาพธรรม ก็ต้องเป็นแต่ละหนึ่งของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยดีต่อสติปัญญาและสภาธรรมที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ไม่ใช่รู้พร้อมกันๆ หลายๆ อารมณ์ ซึ่งจะต้องอาศัยเหตุที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ จนมั่นคงจริงๆ เพราะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง นั้น ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นการที่ไม่ว่าจะสภาพธรรมที่เกิดปรากฏ ก็สามารถรู้ตามความเป็นจริง ไม่ผิด ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เพราะสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน จึงต้องไม่ขาดการฟังพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย จริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ ^_^
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ธรรมรู้ได้เฉพาะตนจริงๆ เวลาที่สติเกิดระลึกตรงลักษณะแข็ง แข็งไม่ใช่เราเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ปนกับทวารอื่นเลยค่ะ