เชิญคลิกอ่าน ... ละอย่างแรกคือละความเห็นผิดก่อน
ขณะนี้เรากำลังฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจความจริง เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงเพราะความจริงที่เรากำลังรู้ในขณะนี้ ยังไม่ถึงความเข้าใจพระธรรมโดยถ่องแท้จริงๆ เราฟังว่าเป็นธรรม แต่ยังคงมีความเป็นเราในธรรมที่ปรากฏ เราจึงต้องฟังพระธรรมต่อ จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้และค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา การฟังให้เกิดความเข้าใจถูกต้องจริงๆ เป็นสิ่งเมื่อฟังต่อไป ผู้ฟังก็จะได้ทราบว่า กว่าจะถึงความเข้าใจความจริงซึ่งตรงกับสิ่งที่ได้ฟังนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ต้องอดทน และเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรมอย่างมากทีเดียว ขณะที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้นมีสติขั้นฟังกำลังระลึกเป็นไปในเรื่องของพระธรรมที่ได้ฟัง ปัญญาก็เข้าใจเรื่องของพระธรรมนั้นเรารู้ว่าเราเข้าใจขึ้น แต่เรายังไม่รู้ว่าทั้งสติและปัญญา ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เหตุนี้การฟังจึงฟังเพื่อเข้าใจ เมื่อเข้าใจขึ้นก็จะค่อยๆ ละคลายความไม่เข้าใจ แต่เราสะสมความไม่เข้าใจมามากกว่าความเข้าใจ จึงต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้นอีกต่อๆ ไปครับ ......ขออนุโมทนาคุณ namarupa ที่จุดประเด็นให้เกิดการสนทนาธรรมครับ
เชิญคลิกอ่าน ... ละอย่างแรกคือละความเห็นผิดก่อน
ต้องเข้าใจก่อน ถ้าไม่เข้าใจจะให้รู้อย่างไร ความรู้ขั้นการฟัง ยังทำอะไรกิเลสไม่ได้ เพราะเราสะสมกิเลสและความไม่รู้มามากมายมหาศาล ไม่มีหนทางอื่น นอกจากฟังให้ เข้าใจถูกก่อน และอบรมปัญญาต่อไป จนกว่าจะดับกิเลสหมดบรรลุเป็นพระอรหันต์ค่ะ
... เชิญคลิกฟัง
ศึกษาแล้วน้อมปฏิบัติตาม
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 18153 ความคิดเห็นที่ 5 โดย JANYAPINPARD
... เชิญคลิกฟัง
ศึกษาแล้วน้อมปฏิบัติตาม
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะจับใจความได้ว่า ศึกษามาก รู้เรื่องราวมาก แต่ไม่เมตตาเมตตา เป็นสมถภาวนาในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมค้ำจุนโลกและมักปนกับโลภะเสียส่วนใหญ่ถ้าขั้นสมถะยังเข้าใจผิด หรือเข้าใจถูกแต่ไม่น้อมประพฤติตามก็จะง่ายต่อการล่วงทุจริตทั้ง 3 เป็นอาหารของนิวรณ์จึงยากที่ปัญญาจะเจริญง่ายการจะดับกิเลสตัวใดเป็นสมุจเฉท เริ่มต้นจากเข้าใจและน้อมประพฤติตามนี่เอง
ยิ่งศึกษา ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นถึงความไม่รู้ค่ะ