[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 382
ทุติยปัณณาสก์
มหาวรรคที่ ๒
๑๐. อุโปสถสูตร
ว่าด้วยอุโบสถ ๓ อย่าง
จบมหาวรรคที่ ๒
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 382
๑๐. อุโปสถสูตร
ว่าด้วยอุโบสถ ๓ อย่าง
[๕๑๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ บุพพาราม ปราสาทของ (นางวิสาขา) มิคารมารดา กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นวันอุโบสถ นางวิสาขา มิคารมารดา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งทักนางวิสาขา มิคารมารดา ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้วว่า เชิญ วิสาขา มาจากไหนแต่เช้า.
นางกราบทูลว่า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้ารักษาอุโบสถ พระพุทธเจ้าข้า.
ตรัสพระธรรมเทศนาว่า วิสาขา อุโบสถ ๓ นี้ ๓ คืออะไร คือ โคปาลกอุโบสถ (อุโบสถเยี่ยงโคบาล) นิคัณฐอุโบสถ (อุโบสถเยี่ยงนิครนถ์) อริยอุโบสถ (อุโบสถเยี่ยงอริยะ).
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 383
โคปาลกอุโบสถ เป็นอย่างไร. โคบาลมอบโคทั้งหลายให้เจ้าของทั้งหลายในเวลาเย็น แล้วคำนึงอย่างนี้ว่า วันนี้ โคเที่ยวหากินในที่โน้นๆ ดื่มน้ำในที่โน้นๆ ทีนี้ พรุ่งนี้ โคจักเที่ยวหากินในที่โน้นๆ จักดื่มน้ำในที่โน้นๆ ฉันใด คนรักษาอุโบสถบางคนก็ฉันนั้นเหมือนกัน คำนึงไปอย่างนี้ว่า วันนี้นะ เราเคี้ยวกินขาทนียะสิ่งนี้ๆ บริโภคโภชนียะสิ่งนี้ๆ ทีนี้ พรุ่งนี้ เราจักเคี้ยวกินขาทนียะสิ่งนี้ๆ จักบริโภคโภชนียะสิ่งนี้ๆ คนรักษาอุโบสถผู้นั้นมีใจไปกับความอยาก ใช้วันให้หมดไปด้วยความอยากนั้น วิสาขา โคปาลกอุโบสถเป็นอย่างนี้แล อุโบสถที่รักษาอย่างนี้ เป็นอุโบสถที่ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่เรืองผลมาก ไม่แผ่ผลมาก
นิคัณฐอุโบสถ เป็นอย่างไร. มีอยู่ วิสาขา สมณะจำพวกหนึ่งชื่อนิครนถ์ เขาสอนสาวกให้ถืออย่างนี้ว่า มา บุรุษผู้เจริญ สัตว์เหล่าใด ในทิศตะวันออก ตะวันตก เหนือ ใต้ อยู่เกินเขต ๑๐๐ โยชน์ออกไป สูเจ้าจงลงทัณฑ์ (คือ ทำร้าย ฆ่า ตี ฯลฯ ) ในสัตว์เหล่านั้นได้ เขาสอนให้เอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่า ไม่เอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่าอย่างนี้ ในวันอุโบสถเขาสอนสาวกอย่างนี้ว่า มา บุรุษผู้เจริญ สูเจ้าจงเปลื้องผ้าออกให้หมด แล้วพูดอย่างนี้ว่า ข้าฯ ไม่เกี่ยวข้องต่อใครๆ ที่ไหนๆ และความกังวลในสิ่งอะไรๆ ที่ไหนๆ ก็ไม่มี แต่มารดาบิดาของเขาก็รู้อยู่ว่า นี่บุตรของข้าฯ ตัวเขาเองก็รู้อยู่ว่า นี่มารดาบิดาของข้าฯ อนึ่ง บุตรภริยาของเขาก็รู้ว่า นี่สามีของข้า เขาก็รู้ว่า นี่บุตรภริยาของข้า. ทาสกรรมกรและคนอาศัยของเขาก็รู้ว่า นี่นายของพวกข้า. เขาก็รู้ว่า นี่ทาสกรรมกรและคนอาศัยของข้า. ด้วยประการนี้ เขาสอนคนอื่นให้ถือความจริงในเวลาใด ก็ชื่อว่าเขาสอนให้ถือมุสาวาทในเวลานั้น เรากล่าวการสอนของเขานี้ในฐานมุสาวาท ล่วงราตรีนั้นแล้ว เขาชื่อว่าบริโภค (กินอยู่ใช้สอย) โภคะ เป็นอย่างของที่เจ้าของ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 384
ไม่ให้นั่นเอง เรากล่าวการบริโภคของเขานี้ในฐานอทินนาทาน วิสาขา นิคัณฐอฺโบสถ เป็นอย่างนี้แล อุโบสถที่รักษาอย่างนี้ เป็นอุโบสถที่ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่เรืองผลมาก ไม่แผ่ผลมาก.
อริยอุโบสถ เป็นอย่างไร. วิสาขา การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้ว ย่อมมีได้ด้วยความพยายาม การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้วย่อมมีได้ด้วยความพยายามอย่างไร. อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ระลึกถึงตถาคตว่า อิติปิ โส ภควา ฯเปฯ ภควา. เมื่อเธอระลึกถึงตถาคตอยู่ จิตย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น อุปกิเลส (เครื่องเศร้าหมอง) แห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ วิสาขา การทำศีรษะที่สกปรกให้สะอาด ย่อมมีได้ด้วยความพยายาม การทำศีรษะที่สกปรกให้สะอาดย่อมมีได้ด้วยความพยายามอย่างไร. ใช้ตะกรัน (น้ำผลไม้) ดินเหนียว และน้ำ กับความพยายามที่สมกับกิจอันนั้นของตน (ประกอบกัน) การทำศีรษะที่สกปรกให้สะอาดย่อมมีได้ด้วยความพยายามอย่างนี้ฉันใด การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้วย่อมมีได้ด้วยความพยายาม ฯลฯ อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละได้ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสาวกนี้ ชื่อว่ารักษาพรหมอุโบสถ (อุโบสถเนื่องด้วยพระพรหม) อยู่ร่วมกับพระพรหม แลจิตของเธอปรารภพระพรหมย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น อุปกิเลสเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้ว ย่อมมีได้ด้วยความพยายามอย่างนี้แล
วิสาขา การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้วย่อมมีได้ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) อย่างไร. อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ระลึกถึงพระธรรมว่า สฺวากฺขาโต ฯเปฯ วิญฺญูหิ เมื่อเธอระลึกถึงพระธรรมอยู่ จิตย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิด
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 385
อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ วิสาขา การทำกายที่สกปรกให้สะอาด ย่อมมีได้ด้วยความพยายาม การทำกาย ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างไร. ใช้ฝุ่นหิน จุณ และน้ำ กับความพยายามที่สมกับกิจอันนั้นของตน (ประกอบกัน) การทำกายที่สกปรกให้สะอาดย่อมมีได้ด้วยความพยายามอย่างนี้ฉันใด การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้วย่อมมีได้ด้วยความพยายาม ฯลฯ อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสาวกนี้ชื่อว่ารักษาธัมมอุโบสถ (อุโบสถเนื่องด้วยพระธรรม) อยู่ร่วมกับพระธรรม และจิตของเธอปรารภพระธรรมย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้วย่อมมีได้ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) อย่างนี้แล
วิสาขา การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้วย่อมมีได้ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) อย่างไร. อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ระลึกถึงพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติสมควร นี้คือใคร คู่แห่งบุรุษสี่ บุรุษบุคคลแปด นี่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
เมื่อเธอระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ จิตย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ วิสาขา การทำผ้าที่สกปรกให้สะอาด ย่อมมีได้ด้วยความพยายาม การทำผ้า ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างไร. ใช้ดินเค็ม ขี้เถ้า โคมัย และน้ำ กับความพยายาม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 386
ที่สมกับกิจอันนั้นของตน (ประกอบกัน) การทำผ้า ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างนี้ฉันใด การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) ฯลฯ อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสาวกนี้ชื่อว่ารักษาสังฆอุโบสถ อยู่ร่วมกับพระสงฆ์ และจิตของเธอปรารภพระสงฆ์ย่อมผ่องใส ฯลฯ การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) อย่างนี้แล.
วิสาขา การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) อย่างไร. อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ระลึกถึงศีลของตน (อขณฺฑ) อันไม่ขาด (อจฺฉิทฺท) ไม่ทะลุ (อสพล) ไม่ต่าง (อกมฺมาส) ไม่พร้อย (ภุชิสฺส) เป็นไท (วิญฺญุปฺปสฏฺ) ผู้รู้สรรเสริญ (อปรามฏฺ) ไม่ถูกปรามาส (สมาธิสํวตฺตนิก) เป็นทางสมาธิ เมื่อเธอระลึกถึงศีลอยู่ จิตย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ วิสาขา การทำแว่นที่มัวให้ใส ย่อมมีได้ด้วยความพยายาม การทำแว่น ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างไร. ใช้น้ำมัน ขี้เถ้า และแปรง กับความพยายามที่สมกับกิจอันนั้นของตน (ประกอบกัน) การทำแว่น ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างนี้ฉันใด การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) ฯลฯ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสาวกนี้ชื่อว่ารักษาศีลอุโบสถ อยู่กับศีล จิตของเธอปรารภศีลย่อมผ่องใส ฯลฯ การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) อย่างนี้แล.
วิสาขา การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายาม (อีกทางหนึ่ง) อย่างไร. อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ระลึกถึงเทวดา (และธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา) ว่า มีอยู่
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 387
เทวดาเหล่าจาตุมหาราชิกา ... เหล่าดาวดึงส์ ... เหล่ายามา ... เหล่าดุสิต ... เหล่านิมมานรดี ... เหล่าปรนิมมิตวสวัตดี ... เหล่าพรหมกายิก ... เหล่าที่สูงขึ้นไปกว่านั้น เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาเช่นใด จุติจากภพนี้จึงได้เกิดในภพนั้นๆ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาเช่นนั้นของเราก็มีอยู่พร้อมเหมือนกัน เมื่อเธอระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนกับของเทวดาเหล่านั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ วิสาขา การทำทองที่หมองให้ผ่อง ย่อมมีได้ด้วยความพยายาม การทำทอง ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างไร ใช้เตา ดินเค็ม ดินเหลือง (๑) สูบและคีม กับความพยายามที่สมกับกิจอันนั้นของช่าง (ประกอบกัน) การทำทอง ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างนี้ฉันใด การทำจิต ฯลฯ อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ฉันนั้นเหมือนกัน อริยสาวกนี้ ชื่อว่ารักษาเทวดาอุโบสถ อยู่กับเทวดา จิตของเธอปรารภเทวดาย่อมผ่องใส ปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น อุปกิเลสแห่งจิตเหล่าใดมีอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเธอย่อมละเสียได้ การทำจิต ฯลฯ ด้วยความพยายามอย่างนี้แล.
วิสาขา อริยสาวกนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นด้วยตนเองอย่างนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายบาป มีความเอ็นดูเกื้อกูลอนุเคราะห์สรรพสัตว์อยู่ตลอดชีพ
แม้เราในวันนี้ ก็ละปาณาติบาต เว้นจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายบาป มีความเอ็นดูเกื้อกูลอนุเคราะห์สรรพสัตว์ตลอดคืน
(๑) เครุ ดินสอแดง ยางไม้ก็ว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 388
และวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราได้ชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว
พระอรหันต์ทั้งหลาย ละอทินนาทานแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของที่เขาให้ หวังแต่ของที่เขาให้ มีตนอันไม่เป็นขโมย เป็นผู้เป็นอยู่สะอาดตลอดชีพ
แม้เราในวันนี้ ก็ละอทินนาทาน เว้นจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของที่เขาให้ หวังแต่ของที่เขาให้ มีตนอันไม่เป็นขโมย เป็นผู้เป็นอยู่สะอาดตลอดคืนและวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว
พระอรหันต์ทั้งหลาย ละอพรหมจรรย์แล้ว เป็นพรหมจารี มีความประพฤติห่างไกล (จากอพรหมจรรย์) เว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้านตลอดชีพ แม้เราในวันนี้ ก็ละอพรหมจรรย์ เป็นพรหมจารี มีความประพฤติ ห่างไกล (จากอพรหมจรรย์) เว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้านตลอดคืนและวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว
พระอรหันต์ทั้งหลาย ละมุสาวาทแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท พูดแต่คำจริง พูดจริงเสมอ มีถ้อยคำมั่นคง เป็นที่วางใจได้ ไม่ลวงโลกตลอดชีพ
แม้เราในวันนี้ ก็ละมุสาวาท เว้นจากมุสาวาท พูดแต่คำจริง พูดจริงเสมอ มีถ้อยคำมั่นคง เป็นที่วางใจได้ ไม่ลวงโลกตลอดคืนและวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 389
พระอรหันต์ทั้งหลาย ละการดื่มน้ำเมาคือสุราเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาทแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมาตลอดชีพ แม้เราในวันนี้ ก็ละการดื่มน้ำเมา เป็นผู้เว้นจากการดื่มน้ำเมาตลอดคืนและวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราได้ชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว
พระอรหันต์ทั้งหลาย บริโภคอาหารครั้งเดียว งดอาหารในราตรี เว้นจากการบริโภคผิดเวลาตลอดชีพ แม้เราในวันนี้ ก็บริโภคอาหารครั้งเดียว งดอาหารในราตรี เว้นจากการบริโภคผิดเวลาตลอดคืนและวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราได้ชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว
พระอรหันต์ทั้งหลาย เว้นขาดจากการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคมดนตรี และดูการเล่น จากการประดับตกแต่งกายด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องทาผิว อันเป็นฐานแต่งตัวตลอดชีพ แม้เราในวันนี้ ก็เว้นจากการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคมดนตรี และดูการเล่น จากการประดับตกแต่งกายด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องทาผิว อันเป็นฐานแต่งตัวตลอดคืนและวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราได้ชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว
พระอรหันต์ทั้งหลาย ละที่นอนสูงที่นอนใหญ่แล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากที่นอนสูงที่นอนใหญ่ ใช้ที่นอนต่ำ บนเตียงบ้าง บนเครื่องลาดทำด้วยหญ้าบ้างตลอดชีพ แม้เราในวันนี้ ก็ละที่นอนสูงที่นอนใหญ่แล้ว เป็นผู้เว้นจากที่นอนสูงที่นอนใหญ่ ใช้ที่นอนต่ำ บนเตียงบ้าง บนเครื่องลาดทำด้วยหญ้าบ้างตลอดคืนและวันนี้ ด้วยองค์นี้ เราได้ชื่อว่าปฏิบัติตามพระอรหันต์ทั้งหลายอย่างหนึ่ง และอุโบสถก็จักเป็นอันเรารักษาแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 390
วิสาขา อริยอุโบสถ เป็นอย่างนี้แล อุโบสถที่รักษาอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแผ่ไพศาลมาก
มีผลมากเพียงไร มีอานิสงส์มากเพียงไร มีความรุ่งเรืองมากเพียงไร มีความแผ่ไพศาลมากเพียงไร.
วิสาขา ต่างว่า ใครคนหนึ่ง จะพึงได้ครอบครองราชัยไอศวรรยาธิปัตย์แห่งมหาชนบททั้ง ๑๖ อันมีรัตนะ ๗ ประการเหลือหลายนี้ มหาชนบท ๑๖ คืออะไรบ้าง คือ อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ ราชสมบัติของผู้นั้นก็หามีค่าเท่าส่วนที่ ๑๖ แห่งอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ไม่ นั่นเพราะเหตุอะไร เพราะราชสมบัติของมนุษย์เทียบกับทิพยสุขเข้าแล้ว เป็นของนิดหน่อย
วิสาขา ๕๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทวดาเหล่าจาตุมหาราชิกา โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรี เป็นเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือน เป็นปี โดยปีนั้น ๕๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าจาตุมหาราชิกา ดูก่อน วิสาขา ที่บุคคลลางคนในโลกนี้ สตรีหรือบุรุษก็ตาม รักษาอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว เพราะกายแตกตายไป จะพึงไปเกิดอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าจาตุมหาราซิกา ที่ว่า ราชสมบัติของมนุษย์เทียบกับทิพยสุขเข้าแล้วเป็นของนิดหน่อยนั้น เรากล่าวหมายเอาข้อนี้แล
วิสาขา ๑๐๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทวดาเหล่าดาวดึงส์ โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรี เป็นเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือน เป็นปี โดยปีนั้น ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าดาวดึงส์ ดูก่อนวิสาขา ที่บุคคลลางคนในโลกนี้ สตรีหรือบุรุษก็ตาม รักษาอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 391
เพราะกายแตกตายไป จะพึงไปเกิดอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าดาวดึงส์ ที่ว่า ราชสมบัติของมนุษย์เทียบกับทิพยสุขเข้าแล้ว เป็นของนิดหน่อยนั้น เรากล่าวหมายเอาข้อนี้แล
วิสาขา ๒๐๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทวดาเหล่ายามา โดยราตรีนั้น ๓๐ ราตรี เป็นเดือน โดยเดือนนั้น ๑๒ เดือน เป็นปี โดยปีนั้น ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่ายามา ดูก่อนวิสาขา ที่บุคคล ฯลฯ ร่วมกับเทวดาเหล่ายามา ที่ว่า ราชสมบัติของมนุษย์ ฯลฯ หมายเอาข้อนี้แล
วิสาขา ๔๐๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทวดาเหล่าดุสิต ฯลฯ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าดุสิต ดูก่อนวิสาขา ที่บุคคล ฯลฯ ร่วมกับเทวดาเหล่าดุสิต ที่ว่า ราชสมบัติของมนุษย์ ฯลฯ หมายเอาข้อนี้แล.
วิสาขา ๘๐๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทวดาเหล่านิมมานรดี ฯลฯ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่านิมมานรดี ดูก่อน วิสาขา ที่บุคคล ฯลฯ ร่วมกับเทวดาเหล่านิมมานรดี ที่ว่า ราชสมบัติของมนุษย์ ฯลฯ หมายเอาข้อนี้แล.
วิสาขา ๑,๖๐๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัตดี ฯลฯ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัตดี ดูก่อนวิสาขา ที่บุคคล ฯลฯ ร่วมกับเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัตดี ที่ว่า ราชสมบัติของมนุษย์ ฯลฯ หมายเอาข้อนี้แล.
ไม่ฆ่าสัตว์ ๑ ไม่ถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ ๑ ไม่พูดมุสา ๑ ไม่ดื่มน้ำเมา ๑
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 392
เว้นจากเมถุนอันมิใช่ความประพฤติดังพรหม ๑ ไม่บริโภคอาหารในราตรีและอาหารผิดเวลา ๑ ไม่ประดับดอกไม้ ไม่ใช้ของหอม ๑ นอนบนเตียง (ที่ได้ประมาณ) หรือเครื่องลาดบนพื้น ๑ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวอุโบสถมีองค์ ๘ นี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้ถึงที่สุดทุกข์ทรงประกาศไว้.
พระจันทร์และพระอาทิตย์ที่น่าดูทั้งสอง โคจรส่องแสงไปตลอดที่มีประมาณเท่าใด อนึ่ง พระจันทร์และพระอาทิตย์ขจัดมืดในอากาศ ส่องอยู่บนฟ้า ทำให้รุ่งโรจน์ไปทั่วทิศ (ตลอดที่เพียงใด) ทรัพย์อันใดมีอยู่ในระหว่าง (ที่ๆ แสงส่องถึง) นั้น เช่น แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์อันงาม ทองสิงคี ทั้งทองกาญจนะ ทองที่เรียกว่าชาตรูปะ ทองหฏกะ ทรัพย์เหล่านั้น (มีค่า) ไม่ถึงแม้ส่วนที่ ๑๖ แห่งอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ดุจหมู่ดาวทั้งหมด (สว่าง) ไม่ถึงส่วนที่ ๑๖ แห่งแสงจันทร์ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 393
เพราะเหตุนั้นแล หญิงและชายผู้มีศีล พึงรักษาอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ทำบุญทั้งหลายอันมีสุขเป็นผลเถิด จะเป็นผู้ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงฐานะอันเป็นแดนสุข.
จบอุโปสถสูตรที่ ๑๐
จบมหาวรรคที่ ๒
อรรถกถาอุโปสถสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอุโปสถสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตทหุโปสเถ เท่ากับ ตสฺมึ อหุ อุโปสเถ คือ ตํทิวสํ อุโปสเถ แปลว่า อุโบสถในวันนั้น มีอธิบายว่า ในวันนั้น เป็นวันปัณณรสีอุโบสถ. บทว่า อุปสงฺกมติ ความว่า นางวิสาขาอธิฏฐานองค์อุโบสถแล้ว ถือของหอมและระเบียบเป็นต้น เข้าไปเฝ้าแล้ว. บทว่า หนฺท เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า เชื้อเชิญ (๑). บทว่า ทิวา ทิวสฺส ความว่า เวลาเที่ยงวัน ชื่อว่ายังวันอยู่ ได้แก่ ในเวลาที่มีพระอาทิตย์ตั้งอยู่ในท่ามกลาง. บทว่า กุโต นุ ตฺวํ อาคจฺฉสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า เธอจะไปทำอะไร.
อุโบสถที่เปรียบด้วยจ้างเลี้ยงโค เพราะมีความวิตกว่าจะไม่บริสุทธิ์ ชื่อว่า โคปาลกอุโบสถ. อุโบสถ คือ การเข้าจำของนิครนถ์ทั้งหลาย ชื่อว่า
(๑) ปาฐะว่า อุปสคฺคตฺเถ ฉบับพม่าเป็น วงสฺสคฺคตฺเถ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 394
นิคัณฐอุโบสถ. อุโบสถคือการเข้าจำของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่า อริยอุโบสถ ฉะนี้แล.
บทว่า เสยฺยถาปิ วิสาเข ความว่า ดูก่อนวิสาขา เปรียบเหมือน. บทว่า สายณฺหสมเย สามิกานํ คาโว นิยฺยาเทตฺวา ความว่า แท้จริง ลูกจ้างเลี้ยงโค รับโคมาเลี้ยงเพราะค่าจ้างรายวัน โดยกำหนดไว้ว่า ๕ วัน ๑๐ วัน ครึ่งเดือน หนึ่งเดือน ๖ เดือน หรือ ๑ ปี (จึงจะจ่าย) แต่ในพระสูตรนี้ ตรัสคำว่า โคปาลกุโปสโถ นี้ ทรงหมายถึงผู้เลี้ยงวัวเพราะค่าจ้างรายวัน. บทว่า นิยฺยาเทตฺวา ความว่า มอบให้ คือ พูดว่า โคของท่านมีจำนวนเท่านี้. บทว่า อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ ความว่า ไปถึงเรือนของตน รับประทานอาหารแล้ว นอนบนเตียง พิจารณาอย่างนี้. บทว่า อภิชฺฌาสหคเตน ความว่า สัมปยุตด้วยตัณหา.
บทว่า เอวํ โข วิสาเข โคปาลกุโปสโถ โหติ ความว่า นี้เป็นอริยอุโบสถเหมือนกัน แต่เพราะมีวิตกไม่บริสุทธิ์ จึงอยู่ในฐานะแห่งโคปาลกอุโบสถเท่านั้น. บทว่า น มหปฺผโล ความว่า ไม่มีผลมาก เพราะผลคือวิบาก. บทว่า น มหานิสํโส ความว่า ชื่อว่าไม่มีอานิสงส์มาก เพราะอานิสงส์คือวิบาก. บทว่า น มหาชุติโก ความว่า ไม่มีแสงสว่างมาก เพราะแสงสว่างคือวิบาก. บทว่า น มหาวิปฺผาโร ความว่า ชื่อว่าไม่แผ่ไปมาก เพราะการแผ่ไปแห่งวิบากมีไม่มาก.
บทว่า สมณชาติกา ได้แก่ หมู่สมณะ. บทว่า ปรํ โยชนสตํ ความว่า ไกลเกินกว่า ๑๐๐โยชน์ คือ เลยนั้นไป. บทว่า เตสุ ทณฺฑํ นิกฺขิปาหิ ความว่า วางอาชญา คือ เป็นผู้วางอาชญาในสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ที่อยู่เกิน ๑๐๐ โยชน์ไป.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 395
บทว่า นาหํ กฺวจินิ กสฺสจิ กิญฺจนํ ตสฺมึ ความว่า เราไม่มีความกังวลต่อใครคนอื่นในที่ไหนๆ อธิบายว่า ปลิโพธ พระองค์ตรัสเรียกว่า ความกังวล เราเป็นผู้ไม่มีความกังวล. บทว่า น จ มม กฺวจินิ กิสฺมิญฺจิ กิญฺจนํ นตฺถิ ความว่า เราไม่มีความกังวล คือ ไม่มีปลิโพธ ในสิ่งไรๆ คือ แม้ในบริขารอย่างหนึ่ง ในที่ไหนๆ คือ ทั้งภายในและภายนอก มีอธิบายว่า เราตัดความกังวลได้ขาดแล้ว. บทว่า โภเค ได้แก่ เครื่องอุปโภคและบริโภค มีเตียง ตั่ง ข้าวยาคู และภัตรเป็นต้น. บทว่า อทินฺนํเยว ปริภุญฺชติ ความว่า ในวันรุ่งขึ้น เขาเมื่อนอนบนเตียงก็ดี นั่งบนตั่งก็ดี ดื่มข้าวยาคูก็ดี ฉันอาหารก็ดี ชื่อว่าบริโภคโภคเหล่านั้น ที่เขาไม่ได้ให้เลย.
บทว่า น มหปฺผโล แปลว่า ไร้ผล. ก็ในบทว่า น มหปฺผโล นี้ มีแต่พยัญชนะเท่านั้นที่เหลืออยู่ ส่วนเนื้อความไม่มีเหลือเลย. เพราะว่าอุโบสถของผู้เข้าจำอย่างนี้ ไม่มีวิบากผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น นิคัณอุโบสถ พึงทราบว่า ไม่มีผลเลย. แม้ในบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ไว้ว่า จิตเศร้าหมองแล้ว?
ตอบว่า เพราะว่า ความที่อุโบสถที่ผู้มีจิตบริสุทธิ์เข้าจำแล้วมีผลมาก เป็นอันพระองค์ทรงอนุญาตแล้ว เพราะทรงแสดงไว้ว่า อุโบสถที่ผู้มีจิตเศร้าหมองเข้าจำแล้ว ย่อมไม่มีผลมาก. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ เพื่อทรงแสดงกัมมัฏฐานที่เป็นเหตุให้จิตบริสุทธิ์ คือ กรรมฐานที่เป็นเหตุชำระจิต. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปกฺกเมน ความว่า ด้วยความเพียรของบุรุษเฉพาะตน หรือด้วยอุบาย.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 396
บทว่า ตถาคตํ อนุสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงพระคุณของพระตถาคตด้วยเหตุ ๘ ประการ. ก็ในบทว่า ตถาคตํ อนุสฺสรติ นี้ ท่านสงเคราะห์เอาพระพุทธคุณทั้งหมด ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระไว้ด้วยคำว่า อิติปิ โส ภควา ซึ่งขยายความออกไปว่า เพราะศีลแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เพราะสมาธิแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงพระคุณที่เป็นส่วนพระองค์เท่านั้น ด้วยบทมีอาทิว่า อรหํ ดังนี้. บทว่า ตถาคตํ อนุสฺสรโต จิตฺตํ ปสีทติ ความว่า เมื่อเขาระลึกถึงพระคุณของพระตถาคตเจ้า ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ จิตตุปบาทย่อมผ่องใส.
นิวรณ์ทั้ง ๕ ชื่อว่า อุปกิเลสแห่งจิต. น้ำคั้นมะขามป้อม ชื่อว่ากักกะ. บทว่า ตชฺชํ วายามํ ความว่า ความพยายามเพื่อชโลม ขัดสี และล้างด้วยตะกอนที่เกิดจากน้ำคั้นมะขามป้อมนั้น อันสมควรแก่น้ำคั้นมะขามป้อมนั้น. บทว่า ปริโยทปนา โหติ ความว่า ย่อมเป็นการทำความสะอาด. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ด้วยพระพุทธประสงค์ว่า ถ้าประดับเครื่องประดับไว้บนศีรษะที่สกปรก เล่นนักษัตรก็ไม่งาม แต่ถ้าประดับเครื่องประดับบนศีรษะที่สะอาด เล่นนักษัตรย่อมงดงาม (ฉันใด) ก็อุโบสถผู้มีจิตเศร้าหมอง (๑) อธิฏฐานองค์อุโบสถแล้วเข้าจำ จะไม่มีผลมาก แต่อุโบสถที่ผู้มีจิตสะอาด (๒) อธิฏฐานองค์อุโบสถแล้วเข้าจำ ย่อมมีผลมาก ฉันนั้นเหมือนกันดังนี้.
บทว่า พฺรหฺมุโปสถํ อุปวสติ ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเรียกกันว่า พระพรหม อุโบสถนี้ชื่อว่า พรหมอุโบสถ ด้วยสมาทานแห่งการระลึกถึงคุณของพระพรหมนั้น เข้าจำพรหมอุโบสถนั้น. บทว่า พฺรหฺมุนา
(๑) ปาฐะว่า กิลิฏฺจิตฺโต ฉบับพม่าเป็น กิลิฏฺจิตฺเตน.
(๒) ปาฐะว่า ปริสุทฺเธ ปน จิตฺเต ฉบับพม่าเป็น ปริสุทฺเธน ปน จิตฺเตน.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 397
สทฺธึ สํวสติ ความว่า คบหากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. บทว่า พฺรหฺมญฺจสฺส อารพฺภ ความว่า ปรารภพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
บทว่า ธมฺมํ อนุสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงโลกุตรธรรม พร้อมกับพุทธพจน์. บทว่า โสตฺตึ ได้แก่ ฝุ่นหินที่ค้นพบในแคว้นกุรุ. ก็คนทั้งหลาย ผสมคลั่งเข้ากับฝุ่นหินที่ค้นพบในแคว้นกุรุ ปั้นเป็นลูกประคำ เจาะรูแล้วเอาด้ายร้อย จับสายพวงลูกประคำทั้งสองข้างแล้วถูหลัง. บทว่า โสตฺติญฺจ ปฏิจฺจ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพวงลูกประคำนั้น. บทว่า จุณฺณํ ได้แก่ จุณที่ใช้เวลาอาบน้ำ. บทว่า ตชฺชํ วายามํ ได้แก่ ความพยายามที่สมกับกิจนั้น มีการไล้ทา ขัดสี และชำระล้างเป็นต้น. บทว่า ธมฺมุโปสถํ ความว่า อุโบสถนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ธัมมอุโบสถ เพราะปรารภนวโลกุตรธรรมพร้อมกับพุทธพจน์แล้วเข้าจำ. นักศึกษาควรวางบทว่า ปริโยทปนา แม้นี้ไว้เป็นหลัก แล้วประกอบความโดยนัยก่อนนั่นแหละ.
บทว่า สํฆํ อนุสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงคุณของพระอริยบุคคล ๘ จำพวก. บทว่า อูสญฺจ ปฏิจฺจ ความว่า อาศัยไออบที่ให้จับ โดยยกขึ้นเตาต้ม ๒ - ๓ ครั้ง. ปาฐะว่า อุสฺสํ ดังนี้ก็มี. ความหมายก็อย่างเดียวกันนี้แหละ. บทว่า ขีรํ ได้แก่ ขี้เถ้า. บทว่า โคมยํ ได้แก่ เยี่ยววัว หรือ ขี้แพะ. แม้ในบทว่า ปริโยทปนา นี้ ก็พึงประกอบความโดยนัยก่อนนั่นแหละ. บทว่า สงฺฆุโปสถํ ความว่า อุโบสถนี้ตรัสเรียกว่า สังฆอุโบสถ เพราะปรารภคุณของพระอริยบุคคล ๘ จำพวกแล้วจึงเข้าจำ. บทว่า สีลานิ ความว่า เป็นคฤหัสถ์ที่ระลึกถึงศีลของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตก็ระลึกถึงศีลของบรรพชิต. อรรถาธิบายของบทว่า อขณฺฑานิ เป็นต้น ข้าพเจ้าได้ให้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 398
บทว่า วาลณฺฑุกํ ได้แก่ แปรงที่เขาทำด้วยขนหางม้า หรือขนปอ เป็นต้น. บทว่า ตชฺชํ วายามํ ได้แก่ การที่เอาน้ำมันทา คะเนว่า สนิมเปียกทั่วแล้ว เทขี้เถ้าลงไป แล้วพยายามเอาแปรงขัด. ผู้ศึกษาควรประกอบความอย่างนี้ โดยยึดบทว่า ปริโยทปนา นี้ เป็นหลักดังต่อไปนี้.
เหมือนอย่างว่า ร่างกาย ถึงจะตกแต่งประดับประดาแล้ว (แต่) เมื่อแว่น (สำหรับส่อง) สกปรก มองดูก็ไม่งาม เมื่อแว่นสะอาดจึงจะงาม ฉันใด อุโบสถที่เข้าจำแล้ว ก็เช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อจิตเศร้าหมองก็ไม่มีผลมาก เมื่อจิตบริสุทธิ์จึงจะมีผลมาก ฉะนี้แล. บทว่า สีลุโปสถํ ความว่า อุโบสถที่เข้าจำด้วยอำนาจแห่งการระลึกถึงศีลของตน ชื่อว่า ศีลอุโบสถ. บทว่า สีเลน สทฺธึ ความว่า พร้อมกับศีล ๕ ศีล ๑๐ ของตน. บทว่า สีลํ อารพฺภ ความว่า ปรารภทั้งศีล ๕ ทั้งศีล ๑๐.
บทว่า เทวตา อนฺสฺสรติ ความว่า ระลึกถึงคุณมีศรัทธาเป็นต้นของตน โดยตั้งเทวดาไว้ในฐานะเป็นพยาน. บทว่า อุกฺกํ แปลว่า เตา. บทว่า โลณํ ได้แก่ ดินเค็ม. บทว่า เครุกํ ได้แก่ ผงดินสอพอง. บทว่า นาฬิกสณฺฑาสํ ได้แก่ สูบที่ทำด้วยไม้อ้อ และคีมสำหรับคีบ. บทว่า ตชฺชํ วายามํ ได้แก่ ความพยายามอันเหมาะสม มีการใส่ลงในเตา การสูบ และการใช้คีมเขี่ยเป็นต้น. นักศึกษาควรวางบทว่า ปริโยทปนา นี้ ไว้เป็นหลัก แล้วประกอบความโดยนัยก่อนนั่นแหละ เพราะว่าผู้ตกแต่งตัวด้วยเครื่องประดับซึ่งทำด้วยทองคำที่หมอง เล่นนักษัตรย่อมไม่งาม (แต่ถ้าแต่งตัวด้วยเครื่องประดับ) ซึ่งทำด้วยทองที่ไม่หมอง เล่นนักษัตรจึงจะงาม ฉันใด ผู้มีจิตเศร้าหมองก็ฉันนั้นเหมือนกัน อุโบสถย่อมไม่มีผลมาก ส่วนผู้มีจิตบริสุทธิ์จึงจะมีผลมาก. บทว่า เทวตูโปสถํ ความว่า อุโบสถที่บุคคลระลึกถึงคุณธรรมของตน โดยตั้งเทวดาไว้ในฐานะเป็นพยาน แล้วเข้าจำ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 399
ชื่อว่า เทวดาอุโบสถ. คำใดที่เหลืออยู่อันควรจะกล่าวถึงในกัมมัฏฐาน มีพุทธานุสสติเป็นต้นเหล่านี้ ทั้งหมดข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วเทียว.
บทว่า ปาณาติปาตํ ได้แก่ การฆ่าสัตว์. บทว่า ปหาย ความว่า ละความทุศีล กล่าวคือ เจตนาเป็นเหตุฆ่าสัตว์นั้น. บทว่า ปฏิวิรตา ความว่า งด คือ เว้นจากความเป็นผู้ทุศีลนั้นตั้งแต่เวลาที่ละได้แล้ว.
บทว่า นิหิตทณฺฑา นิหิตสตฺถา มีอธิบายว่า ชื่อว่าทั้งทิ้งท่อนไม้ ทั้งทิ้งศาตรา เพราะไม่ถือท่อนไม้ หรือศาสตรา เป็นไปเพื่อฆ่าผู้อื่น. เว้นท่อนไม้เสียแล้ว อุปกรณ์ที่เหลือทั้งหมด พึงทราบว่า ชื่อว่าศาสตรา ในบทว่า นิหิตทณฺฑา นิหิตสตฺถา นี้ เพราะยังสัตว์ทั้งหลายให้พินาศ. ส่วนการที่ภิกษุถือไม้เท้าคนแก่ มีดเหลาไม้ชำระฟัน หรือตะไกร มิใช่เพื่อต้องการฆ่าผู้อื่น เพราะฉะนั้น ภิกษุเหล่านั้นจัดว่า วางท่อนไม้แล้ว วางศาสตราแล้วเหมือนกัน. บทว่า ลชฺชี ความว่า ประกอบด้วยความละอาย มีการรังเกียจบาปเป็นลักษณะ. บทว่า ทฺยาปนฺนา ความว่า ถึงความเอ็นดู คือ ความเป็นผู้มีเมตตาจิต. บทว่า สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี ความว่า อนุเคราะห์สัตว์มีชีวิตทั้งปวง ด้วยประโยชน์เกื้อกูล อธิบายว่า มีจิตเกื้อกูลเหล่าสัตว์มีชีวิตทั้งปวง เพราะความเป็นผู้มีใจเอ็นดูนั่นเอง. (๑)
บทว่า อหมฺปชฺช ตัดบทเป็น อหํปิ อชฺช. บทว่า อิมินาปิ องฺเคน ได้แก่ ด้วยองคคุณแม้นี้. บทว่า อรหตํ อนุกโรมิ ความว่า เมื่อเดินตามหลังผู้ที่เดินไปข้างหน้า ชื่อว่าเดินตามฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น เมื่อบำเพ็ญคุณความดีนี้ภายหลังที่พระอรหันต์ทั้งหลายบำเพ็ญมาก่อน ชื่อว่าเจริญรอยตามพระอรหันต์เหล่านั้น. บทว่า อุโปสโถ จ เม อุปวุตฺโถ ภวิสฺสติ
(๑) ปาฐะว่า สพฺพปาณภูเต หิเตน อนุกมฺปิตาย ทฺยาปนฺนาย ฉบับพม่าเป็น สพฺพปาณภูเต หิเตน อนุกมฺปกา ตาย เอว ทฺยาปนฺนตาย.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 400
ความว่า การที่เรากระทำอย่างนี้ จักเป็นอันชื่อว่า เจริญรอยตามพระอรหันต์ด้วย จักชื่อว่าเป็นอันเข้าจำอุโบสถด้วย.
การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ คือ ที่ผู้อื่นหวงแหน ชื่อว่าอทินนาทาน อธิบายว่า ได้แก่ การขโมย คือ งานของโจร. ชื่อว่า ทินฺนาทายี เพราะถือเฉพาะแต่ของที่เขาให้. ชื่อว่า ทินฺนปาฏิกงฺขี เพราะจำนงหวังแม้ด้วยจิตเฉพาะของที่เขาให้. ชื่อว่า เถนะ เพราะลักขโมย ชื่อว่า อเถนะ เพราะไม่ลักขโมย ชื่อว่าเป็นผู้สะอาด เพราะไม่ลักขโมยนั่นเอง. บทว่า อตฺตนา ได้แก่ มีอัตภาพ ท่านอธิบายว่า ทำอัตภาพที่ไม่ลักขโมยให้สะอาดอยู่.
บทว่า อพฺรหฺมจริยํ ได้แก่ การประพฤติที่ไม่ประเสริฐ. ชื่อว่า พฺรหฺมจารี เพราะประพฤติธรรมอันประเสริฐ คือ อาจาระอันสูงสุด. บทว่า อาจารี ความว่า ชื่อว่ามีอาจาระชั่ว เพราะไม่ประพฤตติธรรมอันประเสริฐ. บทว่า เมถุนา ได้แก่ อสัทธรรมที่ถึงการนับว่าเมถุน เพราะซ่องเสพด้วยธรรมอันได้นามว่า เมถุน เพราะคล้ายกันโดยเป็นกิเลสที่กลุ้มรุมจิต คือ ราคะ. บทว่า คามธมฺมา ได้แก่ ธรรมของชาวบ้าน.
บทว่า มุสาวาทา ความว่า จากการพูดเหลาะแหละ คือ พูดคำไร้ประโยชน์. ชื่อว่า สจฺจวาที เพราะพูดความจริง. ชื่อว่า สจฺจสนฺธา เพราะสืบต่อสัจจะด้วยสัจจะ อธิบายว่า ไม่พูดเท็จในระหว่างๆ. เพราะว่าผู้ใดบางครั้งก็พูดเท็จ บางครั้งก็พูดจริง ผู้นั้นชื่อว่าไม่สืบต่อสัจจะด้วยสัจจะ เพราะมีมุสาวาทมาขีดคั่น. เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ชื่อว่ามีสัจจะต่อเนื่อง. แต่คนเหล่านี้ไม่เป็นเช่นนั้น สืบต่อคำสัตย์ด้วยคำสัตย์อย่างเดียว โดยไม่ยอมพูดเท็จแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ามีสัจจะต่อเนื่อง.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 401
บทว่า เถตา แปลว่า มั่นคง อธิบายว่า มีถ้อยคำมั่นคง. คนผู้หนึ่งเป็นผู้ไม่มีถ้อยคำมั่นคง เหมือนการย้อมผ้าด้วยขมิ้น เหมือนหลักที่ปักไว้บนกองแกลบ และเหมือนลูกฟักที่วางไว้บนหลังม้า แต่อีกผู้หนึ่งมีถ้อยคำมั่นคง เหมือนรอยจารึกบนแผ่นดิน และเหมือนเสาอินทขีละ ถึงจะเอาดาบตัดศีรษะ ก็ไม่ยอมพูดเป็นคำสอง. คนผู้นี้ชื่อว่าเถตะ มีถ้อยคำมั่นคง. บทว่า ปจฺจยิกา ได้แก่ วางใจได้ อธิบายว่า เชื่อถือได้. เพราะคนบางคน เชื่อถือไม่ได้ คือ เมื่อถูกเขาถามว่า คำนี้ใครพูด พอตอบว่า คนโน้นพูด ก็จะถึงความเป็นผู้อันเขาพึงพูดว่า อย่าเชื่อคำพูดของมัน แต่คนผู้หนึ่งพูดเชื่อถือได้ คือ เมื่อถูกถามว่า คำนี้ใครพูด พอตอบว่า คนโน้นพูด ก็จะถึงการรับรองว่า ถ้าคนนั้นพูด ข้อนี้ก็ถือเป็นประมาณได้ บัดนี้ไม่มีข้อที่จะต้องทักท้วง คำนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนี้. คนผู้นี้เรียกว่า เป็นที่วางใจได้. บทว่า อวิสํวาทกา โลกสฺส มีอธิบายว่า ไม่พูดลวงโลก เพราะพูดแต่ความจริงเท่านั้น.
เหตุแห่งความประมาท กล่าวคือ เจตนาที่จะดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย ชื่อว่า สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน.
บทว่า เอกภตฺติกา ความว่า อาหารมี ๒ เวลา คือ อาหารที่จะต้องรับประทานในเวลาเช้า ๑ อาหารที่จะต้องรับประทานในเวลาเย็น ๑ บรรดาอาหารทั้งสองอย่างนั้น อาหารที่จะรับประทานในเวลาเช้า กำหนดโดยเวลาภายในเที่ยงวัน (ส่วน) อาหารที่จะรับประทานในเวลาเย็น นอกนี้กำหนดโดยเวลาแต่เลยเที่ยงไป จนถึงเวลาอรุณขึ้น. เพราะฉะนั้น ในเวลาภายในเที่ยง ถึงจะรับประทาน ๑๐ ครั้ง ก็ชื่อว่ามีการรับประทานอาหารเวลาเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เอกภตฺติกา ทรงหมายถึงการรับประทานอาหารภายในเวลาเที่ยงวัน. การรับประทานอาหารในเวลากลางคืน ชื่อว่า รตฺติ ผู้เว้นจากการรับประทานอาหารในเวลากลางคืนนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 402
รตฺตูปรตา. การรับประทานอาหารในเวลาเลยเที่ยงวันไป จนถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ชื่อว่าการรับประทานอาหารในเวลาวิกาล ผู้ชื่อว่าเว้นจากวิกาลโภชน์ เพราะเว้นจากการรับประทานอาหารในเวลาวิกาลนั้น.
การดูที่ชื่อว่าเป็นข้าศึก คือ เป็นศัตรู เพราะอนุโลมตามคำสอนไม่ได้ (ขัดต่อศาสนา) เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวิสูกทัสสนะ การฟ้อนรำ การขับร้อง การดีดสีตีเป่า แม้ด้วยสามารถแห่งการฟ้อนด้วยตนเอง และการให้ผู้อื่นฟ้อนเป็นต้น และการดูการร่ายรำเป็นต้น ที่เป็นไปแล้วโดยที่สุดแม้ด้วยสามารถแห่งการรำแพนของนกยูงเป็นต้น ที่เป็นข้าศึก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนะ. ก็การประกอบการฟ้อนเป็นต้น ด้วยตนเองก็ดี การให้ผู้อื่นประกอบก็ดี การดูการฟ้อนเป็นต้นที่เขาประกอบแล้วก็ดี ไม่ควรแก่ภิกษุภิกษุณีเลย.
ในบรรดามาลาเป็นต้น ดอกไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มาลา. คันธชาตอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ของหอม. เครื่องประเทืองผิว ชื่อว่า วิเลปนะ. ในบรรดาสิ่งเหล่านั้น เมื่อประดับประดา ชื่อว่า ทัดทรง. เมื่อเสริมส่วนที่บกพร่อง ชื่อว่า ตกแต่ง. เมื่อยินดีด้วยของหอมก็ดี ด้วยเครื่องประเทืองผิวก็ดี ชื่อว่า ประดับประดา. เหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ฐานะ. อธิบายว่า เพราะฉะนั้น มหาชนกระทำการทัดทรงดอกไม้เป็นต้นเหล่านั้นด้วยเจตนาคือความเป็นผู้ทุศีลอันใด พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้เว้นจากทุศีลเจตนานั้น.
ที่นั่งที่นอนเกินขนาด ตรัสเรียกว่า อุจจาสยนะ. เครื่องปูลาดที่เป็นอกัปปิยะ (ไม่สมควร) ชื่อว่า มหาสยนะ อธิบายว่า พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้เว้นจากที่นั่งที่นอนสูงและที่นั่งที่นอนใหญ่นั้น. บทว่า กีวมหปฺผโล ความว่า มีผลมากขนาดไหน. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 403
บทว่า ปหุตสตฺตรตนานํ ความว่า ประกอบด้วยรตนะกล่าวคือแก้วมากมาย อธิบายว่า ปราบพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เป็นเหมือนหน้ากลอง แล้วเทรตนะทั้ง ๗ ลงสูงเท่าสะเอว. บทว่า อิสฺสริยาธิปจฺจํ ความว่า (เสวยราชสมบัติ) ที่เป็นใหญ่หรือเป็นอธิบดี ทั้งโดยความเป็นอิสระ ทั้งโดยความเป็นอธิบดี ไม่ใช่เป็นใหญ่หรือเป็นอธิบดีโดยความเป็นพระราชาที่หนักพระทัย. ชื่อว่าเสวยไอศวรรยาธิปัตย์ เพราะไม่มีอาชญากรรมที่ร้ายแรง (คดีอุกฉกรรจ์) ดังนี้บ้าง. บทว่า รชฺชํ กา รยฺย ได้แก่ เสวยจักรพรรดิราชสมบัติเห็นปานนี้.
คำว่า องฺคานํ เป็นต้น เป็นชื่อของชนบทเหล่านั้น. บทว่า กลํ นาคฺฆติ โสฬสึ ความว่า แบ่งบุญในการอยู่จำอุโบสถตลอดวันและคืนหนึ่งออกเป็น ๑๖ ส่วนแล้ว จักรพรรดิราชสมบัติยังมีค่าไม่ถึงส่วนเดียวจาก ๑๖ ส่วนนั้น. อธิบายว่า ผลวิบากของส่วนที่ ๑๖ ของอุโบสถคืนหนึ่งมากกว่าจักรพรรดิราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดินั้น. บทว่า กปณํ ได้แก่ เล็กน้อย.
บทว่า อพฺรหฺมจริยา ได้แก่ จากความประพฤติอันไม่ประเสริฐ. บทว่า รตฺตึ น ภุญฺเชถ วิกาลโภชนํ ความว่า เมื่อเข้าจำอุโบสถ ไม่ควรบริโภคอาหารในเวลากลางคืน และอาหารในเวลากลางวัน อันเป็นเวลาวิกาล. บทว่า มญฺเจ ฉมายํ ว สเยถ สนฺถเต มีอธิบายว่า ควรนอนบนเตียงที่เป็นกัปปิยะ มีเท้าสูงศอกกำ หรือพื้นที่ที่เขาเทไว้ด้วยปูนขาวเป็นต้น หรือบนสันถัดที่เขาปูลาดด้วยหญ้า ใบไม้ หรือฟางเป็นต้น. บทว่า เอตํ หิ อฏฺงฺคิกมาหุโปสถํ ความว่า นักปราชญ์เรียกอุโบสถที่ผู้ไม่ละเมิดปาณาติบาตเป็นต้นเข้าจำแล้วอย่างนี้ ว่าเป็นอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ เพราะประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ.
ส่วนผู้ที่เข้าจำอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ นั้น คิดว่า พรุ่งนี้เราจักรักษาอุโบสถแล้ว ควรตรวจสอบสิ่งที่ต้องจัด มีอาหารเป็นต้นว่า เราต้อง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 404
กระทำอย่างนี้ อย่างนี้ ในวันนี้ทีเดียว. ในวันอุโบสถ ควรเปล่งวาจาสมาทานองค์อุโบสถในสำนักของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ผู้รู้ลักษณะของศีล ๑๐ แต่เช้าๆ.
ส่วนผู้ไม่รู้บาลี ควรอธิษฐานว่า พุทฺธปญฺตฺตํ อุโปสถํ อธิฏฺามิ (ข้าพเจ้าขออธิษฐานองค์อุโบสถที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว). เมื่อหาคนอื่นไม่ได้ ก็ควรอธิษฐานด้วยตนเอง. ส่วนการเปล่งวาจา ควรทำโดยแท้
ผู้เข้าจำอุโบสถ ไม่พึงวิจารการงานอันเนื่องด้วยความบกพร่องของคนอื่น ผู้คำนึงถึงผลได้ผลเสีย ไม่ควรปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป. ส่วนผู้ได้อาหารในเรือนแล้ว ควรบริโภคเหมือนภิกษุผู้ได้อาหารประจำ แล้วตรงไปวิหาร ฟังธรรม หรือมนสิการอารมณ์ (กัมมัฏฐาน) ๓๘ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า สุทสฺสนา ได้แก่ เห็นได้ชัดดี. บทว่า โอภาสยํ ได้แก่ ส่องสว่างอยู่. บทว่า อนุปริยนฺติ แปลว่า โคจรไป. บทว่า ยาวตา ได้แก่ สู่ที่มีประมาณเท่าใด. บทว่า อนฺตลิกฺขคา ได้แก่ ลอยไปสู่อากาศ. บทว่า ปภาสนฺติ แปลว่า ส่องแสงสว่าง คือ เปล่งรัศมี. บทว่า ทิสา วิโรจนา ได้แก่ ส่องแสงสว่างไปในทิศทั้งปวง. อีกนัยหนึ่ง บทว่า ปภาสนฺติ แปลว่า สว่างจ้าไปทั่วทุกทิศ. (๑) บทว่า วิโรจนา เท่ากับ วิโรจมานา แปลว่า ส่องสว่าง.
บทว่า เวฬุริยํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงจะตรัสบทว่ามณีไว้แล้ว (แต่) ก็ทรงแสดงถึงความเป็นแก้วมณีโดยกำเนิดไว้ด้วยบทว่า เวฬุริยํ นี้. ด้วยว่า แก้วไพฑูรย์ที่มีสีเหมือนไม้ไผ่ ที่เกิดได้ ๑ ปี ชื่อว่า
(๑) ปาฐะว่า อถวา ปภาสนฺติ ทิสา วิทิสา โอภาสนฺตีติ วิโรจมานา ฉบับพม่าเป็น อถวา ปภาสนฺตีติ ทิสาหิ ทิสา โอภาสนฺติ วิโรจนาติ วิโรจมานา.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 405
แก้วมณีโดยกำเนิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ทรงหมายถึงแก้วมณีโดยกำเนิดนั้น. บทว่า ภทฺทกํ เท่ากับ ลทฺธกํ แปลว่า งดงาม. บทว่า สิงฺคิสุวณฺณํ ได้แก่ ทองที่งอกขึ้นมีสัณฐานดังเขาโค. บทว่า กาญฺจนํ ได้แก่ ทองที่เกิดจากเขา คือ ทองคำที่เกิดบนภูเขา. บทว่า ชาตรูปํ ได้แก่ ทองที่มีสีเหมือนพระฉวีวรรณของพระศาสดา. บทว่า หฏกํ ได้แก่ ทองที่มดแดงคาบมา. บทว่า นานุภวนฺติ แปลว่า ยังไม่ถึง. บทว่า จนฺทปฺปภา เป็นปฐมาวิภัติลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัติ. อธิบายว่า (ไม่ถึงส่วนที่ ๑๖) แห่งแสงจันทร์. บทว่า อุปวสฺสุโปสถํ ได้แก่ เข้าจำอุโบสถ. บทว่า สุขุทฺริยานิ ได้แก่ มีสุขเป็นผล คือ เสวยความสุข. บทว่า สคฺคมฺเปนฺติ านํ ได้แก่ เข้าถึงฐานะ กล่าวคือ สวรรค์ อธิบายว่า ไม่มีใครตำหนิ ย่อมเกิดในเทวโลก. คำที่เหลือที่มิได้กล่าวไว้ในระหว่างๆ ในพระสูตรนี้นั้น พึงทราบโดยทำนองที่กล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอุโปสถสูตรที่ ๑๐
จบมหาวรรควรรณนาที่ ๒
รวมสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ติตถสูตร ๒. ภยสูตร ๓. เวนาคสูตร ๔. สรภสูตร ๕. กาลามสูตร ๖. สาฬหสูตร ๗. กถาวัตถุสูตร ๘. ติตถิยสูตร ๙. มูลสูตร ๑๐. อุโปสถสูตร และอรรถกถา.