[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 355
๒. อุปัฏฐานสูตร
เทวดาเตือนภิกษุผู้นอนหลับกลางวัน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 355
๒. อุปัฏฐานสูตร
เทวดาเตือนภิกษุผู้นอนหลับกลางวัน
[๗๖๓] สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล สมัยนั้นแล ภิกษุรูปนั้น ไปนอนหลับในที่พักกลางวัน.
[๗๖๔] ครั้งนั้น เทวดาที่สิงอยู่ในป่านั้น มีความเอ็นดูใคร่ประโยชน์แก่ภิกษุรูปนั้น หวังจะให้เธอสลดใจจึงเข้าไปหาแล้วได้กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า
ท่านจงลุกขึ้นเถิด ภิกษุ ท่านจะต้องการอะไรด้วยความหลับ ท่านผู้เร่าร้อนด้วยกิเลส อันลูกศรคือตัณหาเสียบแทงดิ้นรนอยู่ จะมัวหลับมีประโยชน์อะไร ท่านออกจากเรือนบวชด้วยความเป็นผู้ไม่มีเรือนด้วยศรัทธาใด ท่านจงเพิ่มพูนศรัทธานั้นเถิด อย่าไปสู่อำนาจของความหลับเลย.
[๗๖๕] ภิกษุกล่าวตอบว่า
คนเขลาหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์เหล่าใด กามารมณ์เหล่านั้น ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ความหลับจะแผดเผาบรรพชิตผู้พ้นแล้ว ผู้ไม่เกี่ยวข้องในกามารมณ์ซึ่งยังสัตว์ให้ติดอยู่ได้อย่างไร เพราะกำจัดฉันทราคะเสียได้ และเพราะก้าวล่วงอวิชชาเสียได้ ญาณนั้นเป็นของบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ไฉนความหลับจะแผดเผาบรรพ-
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 356
ชิตได้ ความหลับจะแผดเผาบรรพชิตผู้ไม่มีโศก ไม่มีความแค้นใจ เพราะทำลายอวิชชาเสียด้วยวิชชา และเพราะอาสวะสิ้นไปหมดแล้วอย่างไรได้ ความหลับจะแผดเผาบรรพชิตผู้ปรารภความเพียร ผู้มีตนอันส่งไปแล้ว ผู้บากบั่นมั่นเป็นนิตย์ ผู้จำนงพระนิพพานอยู่อย่างไรได้.
อรรถกถาอุปัฏฐานสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอุปัฏฐานสูตรที่ ๒ ต่อไปนี้ :-
บทว่า สุปติ ความว่า ได้ยินว่า ภิกษุนี้เป็นพระขีณาสพท่านไปสู่หมู่บ้านที่ภิกษาจารในที่ไกล กลับมาแล้ว เก็บบาตรและจีวรไว้ในบรรณศาลา ลงสระที่เกิดเองในที่ไม่ไกล พอให้ตัวแห้งแล้ว กวาดที่พักกลางวัน ตั้งเตียงต่ำไว้ในที่นั้นแล้วหลับ. จริงอยู่ แม้พระขีณาสพก็มีความกระวนกระวายทางกายเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อบรรเทาความกระวนกระวายทางกายนั้นว่า หลับ. บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า เทวดาเข้าใจว่า ภิกษุนี้เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วหลับกลางวัน ก็แลชื่อว่า การหลับกลางวันนั้นเจริญขึ้น แม้จะยังประโยชน์ที่เป็นไปในปัจจุบัน และที่เป็นไปในชาติหน้านั้นให้ฉิบหาย คิดว่า เราจักเตือนท่าน จึงได้กล่าว.
บทว่า อาตุรสฺส ความว่า ความเดือดร้อนมี ๓ อย่าง คือ เดือดร้อนด้วยความแก่ เดือดร้อนด้วยความเจ็บป่วย เดือดร้อนด้วยกิเลส ท่านกล่าวหมาย
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 357
ถึงความเดือดร้อนด้วยกิเลสในความเดือดร้อน ๓ นั้น. บทว่า สลฺลวิทฺธสฺส ความว่า แทงที่หัวใจด้วยลูกศรคือตัณหาที่ถูกซัดไปด้วยอวิชชา เหมือนถูกแทงด้วยลูกศรคือหอกที่อาบด้วยยาพิษ. บทว่า รุปฺปโต แปลว่า ถูกเสียดสี. บัดนี้เมื่อเทวดาจะกล่าวถึงโทษในกามของภิกษุนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "ไม่เที่ยง". ในบทเหล่านั้น บทว่า อสิตํ คือ ไม่อาศัยด้วยตัณหานิสัยและทิฏฐินิสัย. บทว่า กสฺมา ปพฺพชิตํ ตเป ความว่า ท่านย่อมกล่าวว่า การหลับกลางวันย่อมไม่เผาพระขีณาสพเห็นปานนี้ ก็แลเพราะเหตุไร จักไม่เผาพระขีณะสพเช่นนั้น. ก็เพราะนี่เป็นคำของพระเถระ. นี้เป็นเนื้อความในข้อนี้ว่า. เมื่อถูกผูกแล้วการหลับกลางวัน จะพึงทำบรรพชิตผู้ไม่มีอาสวะเช่นเรา ผู้หลุดแล้ว หมดกิเลส จะพึงร้อน ก็ไม่ร้อนเพราะเหตุไร. แม้ในคาถาที่เหลือก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. จริงอยู่ ในฝ่ายถ้อยคำของเทวดามีอรรถว่า ความหลับกลางวัน ย่อมไม่เผาบรรพชิตผู้ไม่มีอาสวะเช่นนี้ ก็แลเพราะเหตุไร จักไม่เผาบรรพชิตเช่นนั้น. ในฝ่ายถ้อยคำของพระเถระมีอรรถว่า การหลับกลางวัน จะพึงเผาบรรพชิตผู้ไม่มีอาสวะเช่นเราเห็นปานนี้ ก็ชื่อว่า ไม่เดือดร้อน เพราะเหตุไร. แต่นี้เป็นการพรรณนาบทที่ลึกซึ้งในข้อนี้.
บทว่า วินยา แปลว่า เพราะกำจัด. บทว่า สมติกฺกมา แปลว่า เพราะก้าวล่วงอวิชชาที่เป็นรากเง่าของวัฏฏะ. บทว่า ตํ าณํ ได้แก่ รู้สัจจะ ๔ นั้น. บทว่า ปรโมทาตํ ได้แก่ บริสุทธิ์อย่างยิ่ง. บทว่า ปพฺพชิตํ คือ บรรพชิตผู้ประกอบด้วยความรู้เห็นปานนี้. บทว่า วิชฺชาย คือ วิชชาในมรรคที่ ๔. บทว่า อารทฺธวิริยํ คือ ประคองความเพียรไว้แล้ว มีความเพียรบริบูรณ์แล้ว.
จบอรรถกถาอุปัฏฐานสูตรที่ ๒