การรู้อารมณ์ของจิต
โดย นิรมิต  18 เม.ย. 2556
หัวข้อหมายเลข 22775

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

มีเรื่องอยากจะขอกราบเรียนถามดังนี้ครับ

ก็จิตสามารถจะรู้อารมณ์ได้เพียงอารมณ์เดียว ขณะที่รู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ก็ปรากฏ เฉพาะลักษณะของอารมณ์นั้นที่กำลังรู้ เช่น ขณะที่เป็นปัญจทวารวิถี จิตขณะนั้นรู้อารมณ์ เพียงรูปเท่านั้น ถ้าเป็นทางตา ทั้งวิถีและมโนทวารวิถีแรกที่รับอารมณ์ต่อ ก็รู้เฉพาะวรรณะรูปเท่านั้น ขณะนั้น ชวนวิถีก็มีเวทนาปรากฏ ถ้าเป็นโลภะก็มีลักษณะติดข้องเกิดร่วมด้วย มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย และเจตสิกอื่นๆ อีกตามประเภทของจิต แต่ลักษณะเหล่านั้นไม่ปรากฏในขณะนั้นใช่ไหม คือ แม้มี แม้เกิดร่วม แต่ลักษณะไม่ปรากฏให้จิตวิถีนั้นรู้ เพราะกำลังรู้รูป ต่อเมื่อวิถีนั้นดับไปแล้ว วาระอื่นๆ เกิดต่อ ตรึกถึงลักษณะของโลภะ ตรึกถึงลักษณะของเวทนาที่เป็นโสมนัส จึงรู้ว่าขณะนั้นที่ดับไปมีเวทนาอะไร ซึ่งตรึกถึง แล้วรู้ด้วยกุศลหรืออกุศลก็ได้ ถูกต้องไหมครับ

ทีนี้เลยอยากทราบต่อไปอีกว่า เวลาสติปัฏฐานเกิด ถ้าเป็นการระลึกลักษณะของเจตสิก จะรู้ลักษณะของเจตสิกในมโนทวารวิถีนั้นเลย หรือรู้เจตสิกที่ดับไปแล้วในมโนทวารวิถีก่อนๆ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น จะประจักษ์การเกิดดับของเจตสิกได้อย่างไรครับ

กราบขอบพระคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขณะที่สติปัฏฐานเกิด จะต้องมีปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก และรูป เป็นอารมณ์ ซึ่งสติเมื่อเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม คือ จิต เจตสิก สามารถเกิดระลึกรู้เจตสิก ที่สามารถเกิดได้ทั้งทางปัญจทวารวิถี หรือ มโนทวารวิถี ก็ได้คือ ทวารใดที่มีสภาพธรรม สติปัฏฐานก็สามารถเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงไม่ว่าจะเป็นปัญจทวาร หรือ มโนทวาร ครับ

ที่สำคัญ การเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้องนั้น ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้ว่า ขณะใดที่สติเกิด จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกอย่างไร เพราะสำคัญที่สุดคือ ความเป็น อนัตตาของสภาพธรรมที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลยว่า สติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมอะไร เพราะสภาพธรรมอะไรเกิดปรากฎ และสติเกิดระลึกรู้ในขณะนั้น ขณะนั้นสติก็เกิดระลึกรู้ในอารมณ์นั้น และ ขณะที่สติเกิดระลึกรู้เจตสิก ขณะนั้นก็รู้ความจริงว่า แม้แต่เจตสิกเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งขณะที่สติเกิดจะไม่มีการคิดพิจารณาว่าเจตสิกเป็นอย่างไร ทางทวารไหน แต่มีเพียงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ โดยไม่มีการคิดนึกว่าเป็นไปทางมโนทวาร หรือ ปัญจทวาร ครับ

หน้าที่ที่สำคัญ คือ การรู้ความจริงของสภาพธรรมด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อันเป็นเหตุให้สติเกิด ธรรมจะทำหน้าที่ปรุงแต่งให้สติเกิดเอง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา


ความคิดเห็น 2    โดย นิรมิต  วันที่ 18 เม.ย. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

คืออยากศึกษาให้เข้าใจในความละเอียดของสภาพธรรมดังนี้ว่า ถ้าเป็นปัญจทวารวิถีทางตา ขณะนั้นอารมณ์ของจิตคือรูปารมณ์ทั้งวิถี ชวนวิถีขณะนั้นก็รู้รูปารมณ์ สติปัฏฐาน ถ้าเกิดระลึกขณะนั้น ต้องระลึกที่รูปารมณ์ ใช่ไหม คือมีลักษณะของสีสันวรรณ ปรากฏเป็นสิ่งที่สติเกิดระลึก และปัญญารู้ในสภาพที่เป็นสีสันวรรณะเท่านั้น

สติปัฏฐานที่เกิดในชวนวิถีของปัญจทวารที่รู้รูปารมณ์ขณะนั้น จะระลึกรู้เจตสิกอะไรไม่ได้ ระลึกรู้เวทนาอะไรไม่ได้ ระลึกรู้สภาพธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยไม่ได้ ระลึกรู้ได้เฉพาะรูปารมณ์ที่เป็นสีสันวรรณะทางตา ที่ปรากฏเป็นอารมณ์ของจิต ใช่ไหมครับ

กราบขอบพระคุณครับ


ความคิดเห็น 3    โดย ใฝ่รู้  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

ทางปัญจทวาร (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย) นั้น สติปัฏฐานไม่สามารถรู้ลักษณะของนามธรรมได้ เพราะทางปัญจทวารมีรูปธรรมเป็นอารมณ์เท่านั้นคือ สี เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ถ้าสติปัฏฐานเกิดก็ระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมนั้นทางปัญจทวารได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย สำคัญคือการอบรมเจริญปัญญาตามความเป็นจริงของจิตแต่ละหนึ่งขณะนั้น ย่อมรู้อารมณ์ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เช่น จิตเห็นมีสีเป็นอารมณ์ จิตได้ยินมีเสียงเป็นอารมณ์ เป็นต้น และเมื่อกล่าวถึงจิตแล้วก็ต้องหมายรวมเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย จิตรู้อารมณ์อะไรในขณะนั้น เจตสิกก็ต้องรู้อารมณ์เดียวกันกับจิต โดยเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตนๆ โดยไม่ปะปนกัน ทั้งหมดนั้นก็แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ จริงๆ ไม่มีเราที่แทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย

ประการที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยนั้น ก่อนที่จะไปถึงสติปัฏฐานที่ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงนั้น ก็ต้องมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม จึงจะมีเหตุปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิด ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมก็ตาม เพราะสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นปรมัตถธรรม ล้วนเป็นที่ตั้งของสติปัฏฐานได้ทั้งหมด โดยที่ขณะนั้นสติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมและปัญญารู้ถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย paderm  วันที่ 18 เม.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

ขึ้นอยู่กับว่า ชวนจิตที่เป็นจิต ที่เป็นที่ตั้งให้เกิดสติปัฎฐาน ชวนจิตนั้นเกิดทางปัญจทวารหรือมโนทวาร เพราะในแต่ละทางก็มีอารมณ์ที่ต่างกัน ทางปัญจทวารมีรูปเป็นอารมณ์ ชวนจิตทางปัญจทวารก็ต้องมีรูปเป็นอารมณ์เท่านั้น ส่วนวิถีจิตทางมโนทวารมีรูปและนามเป็นอารมณ์ สติปัฏฐานก็เกิดรู้นามหรือรูปก็ได้ ครับ ซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว

ขออนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 6    โดย นิรมิต  วันที่ 18 เม.ย. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ที่ได้สอบถามในเรื่องนี้ เพราะปรารถนาจะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เพื่อจะได้เป็นความรู้ถูกเห็นถูก ความเข้าใจถูกในลักษณะจริงๆ ของธรรม ว่าขณะนั้นอะไรเกิดได้หรืออะไรเกิดไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้ต้องการจะไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สติเกิดน่ะครับ แต่ใคร่จะทราบลักษณะของธรรมตามความเป็นจริง เพื่อเกื้อกูลความเห็นถูกน่ะครับ

ขออนุญาตกราบเรียนถามอีกประเด็นที่เหลือว่า ถ้าสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของเจตสิกขณะนั้น สติปัฏฐานระลึกโดยมีสภาพเจตสิกชนิดนั้นๆ ที่ดับไปแล้วในกาลก่อนเป็นอารมณ์ ประมาณว่า มีนิมิตของเจตสิกชนิดนั้นเป็นอารมณ์ หรือมีลักษณะของเจตสิกที่กำลังปรากฏร่วมด้วยในขณะนั้นเป็นอารมณ์ เพราะเหตุว่า สติปัฏฐานเป็นบาทสู่วิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ ที่จะต้องมีการรู้การประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ในส่วนของปัญจทวารนั้นไม่ค่อยสงสัยครับ เพราะรูปมีอายุ ๑๗ ขณะของจิต ปัญจทวารทั้งหมดมีรูปเป็นอารมณ์ ขณะที่จิตรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร รูปก็ยังไม่ดับ แต่เมื่อเป็นมโนทวารวิถีอื่นๆ ที่รู้ลักษณะของเจตสิกเป็นอารมณ์ เจตสิกไม่ได้มีอายุยาวแบบรูป เพราะเจตสิกเกิดก็เกิดกับจิต ดับก็ดับพร้อมจิต ชวนวิถีทั้งหมดก็มีเจตสิกเกิดดับๆ ๗ ครั้ง ๗ ขณะ

จึงให้สงสัยว่า เมื่อสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้เจตสิกขึ้นโดยความเป็นอนัตตา ขณะนั้น รู้เจตสิกนั้นโดยความที่ลักษณะของเจตสิกนั้นที่ดับไปแล้วเป็นอารมณ์ หรือรู้ในเจตสิกที่กำลังเกิดกับจิตในชวนวิถีขณะนั้นตรงๆ

ใคร่ขอความกระจ่างด้วยครับ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ


ความคิดเห็น 7    โดย paderm  วันที่ 18 เม.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

สติปัฏฐานที่เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม คือ จิต เจตสิก ที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ทางมโนทวาร แม้ว่าเจตสิกจะดับไปแล้ว แต่เพราะความไวของสภาพธรรมทางวิถีจิตที่เกิดต่อ ก็สามารถเกิดระลึกรู้ลักษณะของเจตสิกที่เพิ่งดับไปได้ ที่เรียกว่า ปัจจุบันขณะ คือ ปัจจุบันสันตติ ซึ่งก็สามารถรู้ลักษณะของเจตสิกได้ เพราะความเกิดต่อของสภาพธรรมอย่างรวดเร็ว ครับ


ความคิดเห็น 8    โดย Boonyavee  วันที่ 19 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย นิรมิต  วันที่ 19 เม.ย. 2556

กราบขอบพระคุณท่านวิทยากรเป็นอย่างสูง และกราบขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย nong  วันที่ 19 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย nopwong  วันที่ 21 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 12    โดย orawan.c  วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ