ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าคุณโยมอาจารย์สุจินต์แสดงไว้ที่ไหนสักแห่งดังนี้:-
1. สิ่งที่เป็นปรมัตถ์เท่านั้นจึงมีอดีต ปัจจุบัน อนาคต
2. ปัจจุบันคือให้รู้ปรมัตถ์ ไม่เลยไปบัญญัติ
3. เข้าไปรู้ปัจจุบัน จึงเป็นปัจจุบันอารมณ์
4. ปัจจุบันมีตลอดแต่เกิดจนตาย แต่ผู้รู้ปัจจุบันมีน้อย
รู้สึกว่าสำคัญมาก อยากขอคำอธิบาย โดยเฉพาะข้อ 1
เจริญพร/พระมนตรี
เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ขออนุโมทนา
อ่านคำถามของพระคุณเจ้าแล้ว ทำให้คิดไปว่ามีผู้คนจำนวนมาก ทียังติดอยู่กับตัวตน ตัวเรา เรารู้ ให้รู้ เข้าไปรู้ ผู้รู้ ซึ่งแสดงถึงการที่จะมีตัวตนที่จะไปรู้ ผมว่าเป็นการเข้าใจธรรมที่ผิดตั้งแต่ต้น เมื่อผิดตั้งแต่ต้นก็จะทำให้ไม่เข้าใจให้ถูกต้องได้ เพราะตัวตนปิดบังการเข้าใจนั้น จึงไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจได้เลย พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจว่ามีแต่ธรรมไม่ใช่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เมื่อมีแต่จิต เจตสิก รูป ไม่มีเรา จิตทำหน้าทีรู้ การที่จะเข้าใจปัจจุบัน ก็น่าจะมีได้ ครับ กราบอนุโมทนาพระคุณเจ้า ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นและดับไป คือจิตและเจตสิก ย่อมมีอดีต ปัจจุบัน อนาคต
การอบรมปัญญาคือรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎคือขณะปัจจุบันนั่นเอง แต่ไม่ใช่ตัวเราที่จะไปพยายามไปรู้ขณะปัจจุบัน แล้วแต่สติว่าจะระลึกรู้หรือไม่ครับ กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
กราบอนุโมทนาพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ
ขออนุโมทนาท่านอาจารย์ prachern.s และคุณpaderm (น้องเต้ย) ค่ะ
บัญญัติ ไม่มีกาล ไม่เกิด ไม่ดับ ต้องเป็นปรมัตถ์เท่านั้นที่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต
(ยกเว้น นิพพาน) ส่วนจิต เจตสิก รูป ทั้งหมด ขณะเกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน ขณะที่ดับไป
แล้วเป็นอดีต ขณะที่จักเกิดเป็นอนาคต ฯลฯ เริ่มต้นด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจถูกว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา
กราบอนุโมทนาทุกท่านค่ะ