ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันนี้ วันอังคารที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ มีสนทนาธรรมที่ต้นน้ำรีสอร์ท ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย ด้วยกุศลศรัทธาการจัดกิจกรรมที่มีคุณค่ายิ่งนี้ ของคุณจริยา ตระกูลวิไล [สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๒๓๑] ซึ่งอำนวยความสะดวกให้สหายธรรมมีโอกาสได้มาสนทนาธรรมเพื่อความเข้าใจความจริง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีสหายธรรมหลายๆ ท่านคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ มีคุณเฉลียง มั่นทุ่ง [สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๓๘๒๖] และ คุณธนารัตน์ เลิศล้ำ [สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๓๘๒๗] เป็นต้น ซึ่งก็มีสหายธรรมจากหลายจังหวัดทีเดียวที่ได้มาร่วมสนทนาธรรมในครั้งนี้ ทั้งจากจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ เป็นต้น (รวมถึงพระภิกษุด้วย) ซึ่งก็เป็นโอกาสที่สำคัญยิ่งที่จะได้ฟังได้ศึกษาได้สนทนาเพื่อความเข้าใจความจริง เพื่อความเป็นชาวพุทธที่แท้จริงเพราะได้เข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การสนทนาธรรมในครั้งนี้เริ่มต้นในคำว่า ชาวพุทธ กับ พระพุทธศาสนา ซึ่งถ้าไม่ได้มีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงทรงเป็นพระบรมศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ ต้องได้เข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจความจริงตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งความจริงที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจนั้น ก็คือ ธรรม ซึ่งมีอยู่จริงๆ ในขณะนี้ ไม่ต้องไปแสวงธรรมที่ไหน เพราะขณะนี้ เป็นธรรม มีสิ่งที่มีจริงอยู่ทุกขณะ ทำให้ได้เริ่มฟังเริ่มศึกษาเริ่มไตร่ตรองในเหตุในผลตรงตามความเป็นจริง ทุกขณะเป็นธรรม เช่น เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม โกรธเป็นธรรม เป็นต้น เพราะอะไร สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นธรรม? เพราะมีจริงๆ และใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมนั้นๆ ไม่ได้ ไม่ว่าจะเรียกในภาษาอะไรก็ตาม แต่ก็เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของธรรมไม่ได้
ความละเอียดลึกซึ้งของธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ก็คือ เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเท่านั้น หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนไม่ได้เลย นี้คือ ความละเอียดลึกซึ้งของธรรม จึงต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมอย่างมั่นคง
การสนทนาธรรมก็มีหลากหลายประเด็นซึ่งชาวพุทธเข้าใจผิดเข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร เพราะชาวบ้านเข้าใจผิดว่ามีเจ้ากรรมนายเวรจริง แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ประโยชน์ คือ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม ก็ต้องย้อนกลับมา ว่า แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ว่าอย่างไร ซึ่งทุกคำในพระไตรปิฎกเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เพราะไม่มีเจ้ากรรมนายเวร แต่มีกรรมและการได้รับผลของกรรม เมื่อทำเหตุที่ไม่ดี เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ผลที่ไม่ดีก็ย่อมเกิดขึ้นตามควรแก่เหตุ [การกระทำไม่ดีประการต่างๆ เหล่านั้น ก็เป็นเวร ด้วย เพราะจะนำมาซึ่งทุกข์โทษภัยประการต่างๆ ในภายหลัง] แต่ถ้าได้สะสมเหตุที่ดี กล่าวคือ ทำความดีประการต่างๆ เมื่อเหตุที่ดีถึงความสุกงอมพร้อมที่จะให้ผล ก็ทำให้ผลที่ดีเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครได้ เพราะสัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน นั่นเอง และ กรรม ซึ่งเป็นเจตนาความจงใจขวนขวายที่จะทำดีบ้าง ไม่ดี บ้าง นั้น ก็เป็นธรรม ด้วย ซึ่งเมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เข้าใจว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว ตามความเป็นจริง ปัญญาก็จะนำไปกิจทั้งปวงที่ดีงาม ไม่นำพาไปในการทำความชั่ว คุณความดีประการต่างๆ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น คล้อยตามปัญญาที่เจริญขึ้นนั่นเอง
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และเข้าใจผิดกันมาก ในการสนทนาธรรมคราวนี้อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ได้ตั้งเป็นคำถามให้ผู้ร่วมสนทนาธรรมได้พิจารณาไต่ตรอง ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งว่า "ถ้าเข้าใจว่าธรรมคืออะไร แล้วจะไปแสวงหาธรรมที่ไหนหรือเปล่า? " และได้ยกตัวอย่างบุคคลในสมัยครั้งพุทธกาลที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล นั้น มีใครไปสำนักปฏิบัติธรรมที่ไหนหรือเปล่า? ไม่มีเลย มีแต่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว ทั้งนั้นเลย
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ได้กล่าวถึงประเด็นสำนักปฏิบัติธรรม นั้น ควรค่าแก่การพิจารณาไตร่ตรองจริงๆ ว่า สำนักปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดปัญญาได้หรือ หรือว่าทำให้ความเห็นผิด ความไม่รู้ และ ความติดข้องเพิ่มมากขึ้น อีกทัังยังเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย เพราะไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรเลย ดังนี้
~ สำนักปฏิบัติหรือสำนักวิปัสสนาก็ตาม ที่บอกว่าไปแล้วก็จะได้สบายใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ไปๆ กันแล้ว เพราะเหตุว่าไปแล้วก็ไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอะไรเลยทั้งสิ้น นั่งหลับก็มี ถ้าไปคุยกับคนที่กลับจากสำนักปฏิบัติ ก็ตอบกันเป็นเสียงเดียว เพราะจะเอาความเข้าใจธรรมมาแต่ไหนโดยการเพียงไปนั่งแล้วก็ไปเดินแล้วก็ไปดู แล้วก็ไม่รู้อะไร
~ คนที่ไปสำนักปฏิบัติ คิดว่าไปแล้วถูก ถูกตรงไหน? แล้วเขารู้อะไร? ต้องเป็นคนตรง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ยังสนับสนุนต่อไปไหม? ตามโรงเรียนต่างๆ ผิดตั้งแต่นักเรียน เมื่อออกจากโรงเรียนไปแล้วจะไปหาความถูกต้องที่ไหนในเมื่อปลูกฝังความเข้าใจ (ผิด) ว่าพระพุทธศาสนา ก็คือ ไปสำนักปฏิบัติ ซึ่งไม่มีในพระไตรปิฎก
~ เวลาที่มีคนไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สนทนาธรรมเสร็จแล้วก็ทูลลากลับ ไม่เห็นพระองค์ตรัสว่า ไปสำนักปฏิบัตินะ เมื่อไหร่จะไป
การมีโอกาสได้กล่าวความจริง ตรงไปตรงมาตามเหตุตามผล ด้วยความหวังดี นั้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง ช่วยให้เขาได้พ้นจากความเข้าใจผิด การได้ช่วยให้ผู้อื่นพ้นจากความเข้าใจผิดนั้น เป็นประโยชน์มหาศาล เพราะเหตุว่า ถ้าเขาได้มีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะไม่ผิดต่อๆ ไปอีก
จึงเป็นขณะที่มีค่ายิ่งที่ได้ฟังได้ศึกษาในสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ได้เริ่มรับมรดกที่ล้ำค่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานให้พุทธบริษัท คือ คำจริงแต่ละคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ด้วยการที่เป็นผู้เห็นประโยชน์ ตั้งใจฟังตั้งใจศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป และ เมื่อเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงยิ่งขึ้น ก็จะไม่ละเลยโอกาสในการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะไม่ไปในทางที่ผิด ไม่เชื่อตามๆ กันในสิ่งที่ผิด ไม่ทำอะไรตามๆ กันไปด้วยความไม่รู้ อีกต่อไป
[สำหรับวีดีโอการสนทนาธรรมที่ต้นน้ำรีสอร์ท ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ในครั้งนี้ จะได้เผยแพร่ทางยูทูป ช่อง มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในโอกาสอันไม่นานนี้]
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาการเผยแพร่พระธรรมเพื่อความเข้าใจูกตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
กราบขอบพระคุณกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ