[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1058
อินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทสฃ
๖๘. อรรถกถาอินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1058
อินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทส
[๒๖๙] อินทริยปโรปริยัตตญาณของพระตถาคตเป็นไฉน?
ในอินทริยปโรปริยัตตญาณนี้ พระตถาคตย่อมทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน, มีอาการดี มีอาการชั่ว, พึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย พึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก, บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บางพวกมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย.
[๒๗๐] คำว่า มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ, บุคคลผู้ปรารภความเพียร เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ บุคคลผู้เกียจคร้าน เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ, บุคคล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1059
ผู้มีสติตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ บุคคลผู้มีสติหลงลืม เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ, บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ บุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นเป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ, บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ บุคคลผู้มีปัญญาทรามเป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
[๒๗๑] คำว่า มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธาเป็นคนมีอินทรีย์แก่กล้า บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีอินทรีย์อ่อน... บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีอินทรีย์แก่กล้า บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมีอินทรีย์อ่อน.
[๒๗๒] คำว่า มีอาการดี มีอาการชั่ว ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนมีอาการดี บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีอาการชั่ว... บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีอาการดี บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมีอาการชั่ว.
[๒๗๓] คำว่า พึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย พึงให้รู้แจงได้โดยยาก ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก,... บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนพึงให้รู้จักได้โดยง่าย บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1060
[๒๗๔] คำว่า บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บางพวกมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย,... บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย.
[๒๗๕] คำว่า โลก ชื่อว่าโลก คือ ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก, โลกคือภพวิบัติ โลกคือสมภพวิบัติ, โลกคือภพสมบัติ โลกคือสมภพสมบัติ, โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร, โลก ๒ คือ นามและรูป, โลก ๓ คือเวทนา ๓, โลก ๔ คืออาหาร ๔, โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕, โลก ๖ คือ อายตนะภายใน ๖, โลก ๗ คือ ภูมิเป็นที่ตั้งวิญญาณ ๗, โลก ๘ คือ โลกธรรม ๘, โลก ๙ คือ ภพเป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ ๙, โลก ๑๐ คือ อายตนะ ๑๐, โลก ๑๒ คือ อายตนะ ๑๒. โลก ๑๘ คือ ธาตุ ๑๘.
[๒๗๖] คำว่า โทษ ชื่อว่าโทษ คือ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง กรรมอันเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่ภพทั้งปวง เป็นโทษ ความสำคัญในโลกนี้และโทษนี้เป็นภัยอันแรงกล้า ปรากฏแล้วด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1061
ประการดังนี้ เหมือนความสำคัญในศัตรูผู้เงื้อดาบเข้ามาจะฆ่าฉะนั้น พระตถาคตย่อมทรงรู้ ทรงเห็น ทรงทราบชัด ทรงแทงตลอดซึ่งอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ด้วยอาการ ๕๐ นี้ นี้เป็นอินทริยปโรปริยัตตญาณของพระตถาคต.
๖๘. อรรถกถาอินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทส
๒๖๙] พึงทราบวินิจฉัยในอินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้.
เมื่อคำว่า ตถคตสฺส แม้ไม่มีโดยสรูปในอุทเทส ท่านกล่าวว่า ตถาคตสฺส เพราะท่านกล่าวไว้ว่า ญาณ ๖ ไม่ทั่วไปด้วยสาวกทั้งหลาย. เพราะฉะนั้น จึงถือเอาในนิทเทสแห่งคำว่า ตถาคต อันสำเร็จแล้วโดยอรรถในอุทเทส.
บทว่า สตฺเต ปสฺสติ - เห็นสัตว์ทั้งหลาย คือ ชื่อว่า สัตว์ เพราะข้อง คือ เพราะถูกคล้องด้วยฉันทราคะในรูปเป็นต้น. พระตถาคตทรงเห็นทรงตรวจดูสัตว์เหล่านั้น ด้วยจักษุอันเป็น อินทริยปโรปริยัตตญาณ - ญาณกำหนดรู้ความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย.
บทว่า อปฺปรชฺกเข - ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ นี้ มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่า อปฺปรชกฺขา - เพราะอรรถว่าสัตว์มีธุลีมีราคะเป็นต้นน้อยในจักษุคือปัญญา. หรือว่า เพราะอรรถว่าสัตว์มีธุลี คือ ราคะเป็นต้นน้อย. ซึ่งสัตว์เหล่านั้นผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1062
บทว่า มเหสกฺเข - ผู้มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่า มเหสกฺขา เพราะอรรถว่าสัตว์มีธุลีมีราคะเป็นต้นมากในจักษุ คือปัญญา. หรือว่าสัตว์มีธุลีมีราคะเป็นต้นมาก.
บทว่า ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย - มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน. มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่า ติกฺขินฺทฺริยา คือ มีอินทรีย์แก่กล้า เพราะอรรถว่า สัตว์มีอินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้นแก่กล้า. ชื่อว่า มุทินฺทฺริยา มีอินทรีย์อ่อน เพราะอรรถว่าสัตว์มีอินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้นอ่อน.
บทว่า สฺวากาเร ทฺวาการา - มีอาการดี มีอาการชั่ว ความว่า ชื่อว่า สฺวาการา คือ มีอาการดี เพราะอรรถว่า สัตว์มีอาการ คือ มีส่วน มีศรัทธาเป็นต้นดี. ชื่อว่า ทฺวาการา คือ มีอาการชั่ว เพราะอรรถว่าสัตว์มีอาการ คือ มีส่วน มีศรัทธาเป็นต้น น่าเกลียด น่าติเตียน.
บทว่า สุวิญฺาปเย ทุวิญฺาปเย - พึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย พึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก คือ สัตว์เหล่าใดกำหนดเหตุที่กล่าว เป็นผู้สามารถรู้แจ้งได้โดยง่าย สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สุวิญฺญาปยา. ตรงกันข้ามกับรู้แจ้งชัดโดยง่ายนั้น ชื่อว่า ทุวิญฺาปยา.
บทว่า อปฺเปกจฺเจ ปรโลกฺวชฺชภยทสฺสาวิโน - บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย คือ ชื่อว่า ปรโลกวชฺช
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1063
ภยทสฺสาวิโน คือ มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย เพราะอรรถว่ามีปกติเห็นภัยอื่นหนัก ในโลกมีขันธโลกเป็นต้น และโทษมีราคะเป็นต้น เพราะเมื่อบางพวกเห็นปรโลกและโทษมีราคะเป็นต้น โดยเป็นภัยในนิทเทสแห่งบทนี้ ท่านจึงไม่กล่าวถึงปรโลกเท่านั้น. พึงถือเอาความอย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านั้นมีปกติเห็นภัยในปรโลก และในโทษมีราคะเป็นต้น.
บทว่า อปฺเปกจิเจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิโน - บางพวกมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยนี้ มีความตรงกันข้ามกับบทที่กล่าวแล้วนั้น. อนึ่ง บทว่า โลโก เพราะอรรถว่าสลายไป. บทว่า วชฺชํ คือโทษ เพราะอรรถว่าควรติเตียน. ด้วยบทประมาณเท่านี้ เป็นอันท่านชี้แจงบทอุทเทสแล้ว.
๒๗๐] พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะทำปฏินิทเทส คือ การชี้แจงทวนนิทเทสอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อปฺปรชกฺเข มหารชกฺเข- สัตว์มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ สัตว์มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สทฺโธ - บุคคลผู้มีศรัทธา เพราะบุคคลมีศรัทธา กล่าวคือ ความก้าวลงในพระรัตนตรัย. บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธานั้น ชื่อว่า อปฺปรชกฺโข คือ มีธุลีน้อยในปัญญาจักษุ เพราะธุลี คือ ความไม่มีศรัทธาและธุลี คือ อกุศลที่เหลืออันเป็นมูลรากของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1064
ความไม่มีศรัทธามีอยู่น้อย.
ชื่อว่า อสฺสทฺโธ คือ ผู้ไม่มีศรัทธา เพราะไม่มีศรัทธา บุคคลนั้น ชื่อว่า มหารชกฺโข คือ มีธุลีมากในปัญญาจักษุ เพราะธุลีมีประการดังกล่าวแล้วมาก.
ชื่อว่า อารทฺธวีริโย - ผู้ปรารภความเพียร เพราะมีใจปรารภความเพียร. บุคคลผู้ปรารภความเพียรนั้น ชื่อว่า อปฺปรชกฺโข เพราะธุลี คือ ความเกียจคร้านและธุลี คือ อกุศลที่เหลืออันเป็นมูลรากของความเกียจคร้านน้อย.
ชื่อว่า กุสีโท - ผู้เกียจคร้าน เพราะอรรถว่าจมอยู่โดยอาการน่าเกลียด เพราะมีความเพียรเลว. กุสีโท นั่นแหละ คือ กุสีโต. บุคคลผู้เกียจคร้านนั้น ชื่อว่า มหารชกฺโข เพราะธุลีที่จมมีประการ ดังกล่าวแล้วมาก.
ชื่อ อุปฏฺิตฺสสติ - ผู้มีสติตั้งมั่น เพราะมีสติเข้าไปตั้งอารมณ์ไว้มั่น. บุคคลนั้น ชื่อว่า อปฺปรชกฺโข เพราะธุลี คือ ความลุ่มหลง และธุลี คือ อกุศลที่เหลืออันเป็นมูลรากของความลุ่มหลงน้อย.
ชื่อว่า มุฏฺสฺสติ คือ ผู้มีสติหลงลืม เพราะมีสติหลงลืม. บุคคลนั้น ชื่อว่า มหารชกฺโข เพราะธุลีมีประการดังกล่าวแล้วมาก.
ชื่อว่า สมาหิโต คือ บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น เพราะตั้งไว้เสมอ หรือว่าโดยชอบในอารมณ์ด้วยอัปปนาสมาธิ หรือด้วยอุปจารสมาธิ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สมาหิโต เพราะอรรถว่ามีจิตตั้งมั่น. บุคคลนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1065
ชื่อว่า อปฺปรชกฺโข เพราะธุลี คือ ความฟุ้งซ่านและธุลี คือ อกุศล ที่เหลืออันเป็นมูลรากของความฟุ้งซ่านน้อย.
บุคคลมีจิตไม่ตั้งมั่น ชื่อว่า อสมาหิโต. บุคคลนั้น ชื่อว่า มหารชกฺโข เพราะธุลีมีประการดังกล่าวแล้วมาก.
ชื่อว่า ปญฺวา คือ บุคคลผู้มีปัญญา เพราะมีปัญญาเห็นความเกิดและความดับ. บุคคลผู้มีปัญญานั้น ชื่อว่า อปฺปรชกฺโข เพราะธุลี คือ โมหะและธุลี คือ อกุศลที่เหลืออันเป็นมูลรากของโมหะน้อย.
ชื่อว่า ทุปฺปญฺโ คือ บุคคลผู้มีปัญญาทราม เพราะมีปัญญาทราม เพราะลุ่มหลงด้วยโมหะ. บุคคลนั้น ชื่อว่า มหารชกฺโข เพราะมีธุลี มีประการดังกล่าวแล้วมาก.
๒๗๑] บทว่า สทฺโธ ปุคฺคโล ติกฺขินฺทฺริโย - บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนมีอินทรีย์แก่กล้า คือ มีศรัทธา ด้วยศรัทธามีกำลังอันเกิดขึ้นมาก. มีอินทรีย์แก่กล้าด้วยสัทธินทรีย์นั้นนั่นเอง.
บทว่า อสฺสทฺโธ ปุคฺคโล มุทินฺทฺริโย - บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีอินทรีย์อ่อน คือ ไม่มีศรัทธาด้วยความไม่เชื่อเกิดขึ้นมาก. เป็นผู้มีอินทรีย์อ่อนด้วยสัทธินทรีย์ มีกำลังน้อยอันเกิดขึ้นในระหว่างๆ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้.
๒๗๒] บทว่า สทฺโธ ปุคฺคโล สฺวากาโร - บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นผู้มีอาการดี คือ มีอาการงดงามด้วยศรัทธานั้นนั่นเอง. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1066
อสฺสทฺโธ ปุคฺคโล ทฺวากาโร - บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นผู้มีอาการชั่ว คือ มีอาการผิดรูปด้วยความเป็นผู้ไม่เชื่อนั้นนั่นเอง. แม้ในคำที่เหลือก็มีนัยนี้.
๒๗๓] บทว่า สุวิญฺาปโย คือ พึงสามารถให้รู้โดยง่าย. บทว่า ทุวิญฺญาปโย คือ พึงสามารถให้รู้โดยยาก.
๒๗๔] ในบทว่า ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวี นี้ พึงทราบความดังต่อไปนี้.
เพราะศรัทธาเป็นต้นของผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา เป็นความบริสุทธิ์ด้วยดี. ฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ด้วยดี เป็นต้น เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธานั้น จึงเป็นผู้มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย. หรือแม้ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ด้วยดีเป็นต้น ก็เป็นผู้มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยด้วยปัญญาอันมีศรัทธานั้นเป็นปัจจัย. เพราะฉะนั้นแหละ ท่านจึงกล่าวธรรม ๔ อย่าง มีศรัทธาเป็นต้นว่า ปรโลกวชฺชยทสฺสาวี - เป็นผู้มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย.
๒๗๕] บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ เพื่อจะแสดงโลกและโทษดังกล่าวแล้ว ในบทนี้ว่า ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวี จึงกล่าวคำมีอาทิว่า โลโก ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น ขันธ์ทั้งหลายนั่นเอง ชื่อว่า ขันธโลก เพราะอรรถว่า มีอันต้องสลายไป. แม้ในสองบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1067
บทว่า วิปตฺติภวโลโก - โลกคือภพวิบัติ ได้แก่ อบายโลก. เพราะอบายโลกนั้น เป็นโลกเลว เพราะมีผลไม่น่าปรารถนา จึงชื่อว่า วิบัติ. ชื่อว่า ภพ เพราะเกิด. ภพคือความวิบัตินั่นเอง ชื่อว่า ภพวิบัติ. โลกคือภพวิบัตินั่นเอง ชื่อว่า โลกคือภพวิบัติ.
บทว่า วิปตฺติสมฺภวโลโก - โลกคือสมภพวิบัติ ได้แก่ กรรมอันเข้าถึงอบาย ชื่อว่า สมภพ เพราะเป็นแดนเกิดแห่งผลกรรม. แดนเกิดแห่งวิบัติ ชื่อว่า สมภพวิบัติ. โลกมีแดนเกิดวิบัตินั่นแหละ ชื่อว่า โลกคือสมภพวิบัติ.
บทว่า สมฺปตฺติสมฺภวโลโก - โลกคือภพสมบัติ ได้แก่ สุคติโลก. เพราะสุคติโลกนั้นเป็นโลกดี เพราะมีผลน่าปรารถนา จึงชื่อว่า สมบัติ. ชื่อว่า ภพ เพราะเกิด. ภพอันเป็นสมบัตินั่นแหละ ชื่อว่า ภพสมบัติ. โลกคือแดนเกิดแห่งสมบัตินั้นแหละ ชื่อว่า โลกคือภพสมบัติ
บทว่า สมฺปตฺติสมฺภวโลโก - โลกคือสมภพสมบัติ ได้แก่ กรรมอันเข้าถึงสุคติ. ชื่อว่า สมภพ เพราะเป็นแดนเกิดแห่งผลกรรม. แดนเกิดแห่งสมบัติ ชื่อว่า สมภพสมบัติ. โลกคือแดนเกิดแห่งสมบัตินั่นแล ชื่อว่า โลกคือสมภพสมบัติ.
บทมีอาทิว่า เอโก โลโก โลก ๑ มีอรรถดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1068
๒๗๖] บทว่า วชฺชํ - โทษ ท่านทำเป็นนปุงสกลิงค์ เพราะไม่ได้แสดงด้วยบทว่า อสุโภ.
บทว่า กิเลสา คือ กิเลสมีราคะเป็นต้น.
บทว่า ทุจฺจริตา คือ ทุจริตมีปาณาติบาตเป็นต้น.
บทว่า อภิสงฺขารา คือ สังขารมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น.
บทว่า ภวคามิกมฺมา - กรรมอันเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่ภพ ชื่อว่า ภวคามิโน เพราะสัตว์ทั้งหลายไปสู่ภพด้วยอำนาจการให้วิบากของตน. ท่านกล่าวกรรมอันให้เกิดวิบากแม้ในอภิสังขารทั้งหลาย.
บทว่า อิติ เป็นบทแสดงประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า อิมสฺมิญฺจ โลเก อิมสฺมิญฺจ วชฺเช - ในโลกนี้และในโทษนี้ คือ ในโลกและในโทษดังกล่าวแล้ว.
บทว่า ติพฺพา ภยสญฺา - ความสำคัญว่าเป็นภัยอันแรงกล้า คือ ความสำคัญว่าเป็นภัยมีกำลัง แต่ท่านกล่าวอรรถแห่ง พล ศัพท์ว่า ติพฺพา. ท่านกล่าวอรรถแห่ง ภย ศัพท์ว่า ภยสญฺา. เพราะว่าโลกและโทษทั้งสอง ชื่อว่า ภัย เพราะเป็นวัตถุแห่งภัย และเพราะเป็นภัยเอง. ความสำคัญว่า ภัย ก็ชื่อว่า ภยสญฺญา.
บทว่า ปจฺจุปฏฺิตา โหติ - ปรากฏแล้ว คือ ปรากฏเพราะอาศัยภัยนั้นๆ.
บทว่า เสยฺยถาปิ อุกฺขิตฺตาสิเต วธเก - เหมือนความสำคัญในศัตรูผู้เงื้อดาบ คือ ความสำคัญว่าเป็นภัยกล้าแข็งปรากฏ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1069
ในโลกและในโทษ เหมือนความสำคัญว่าเป็นภัยปรากฏในศัตรูผู้เงื้อดาบเพื่อประหารฉะนั้น.
บทว่า อิเมหิ ปฺาสาย อากาเรหิ - ด้วยอาการ ๕๐ นี้ คือ ด้วยอาการ ๕๐ ด้วยสามารถแห่งอาการอย่างละ ๕ ในปัญจกะ ๑๐ มีอัปปรชักขปัญจกะเป็นต้นอย่างหนึ่งๆ.
บทว่า อิมานิ ปญฺจินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์ เป็นต้น.
บทว่า ชานาติ คือ พระตถาคตย่อมทรงรู้ด้วยพระปัญญา.
บทว่า ปสฺสติ คือ ทรงกระทำดุจเห็นด้วยทิพจักษุ.
บทว่า อญฺาติ ทรงทราบชัด คือ ทรงทราบด้วยมารยาทแห่งอาการทั้งปวง.
บทว่า ปฏิวิชฺฌติ - ทรงแทงตลอด คือ ทรงทำลายด้วยพระปัญญาด้วยสามารถการเห็นหมดสิ้นมิได้เหลือเป็นเอกเทศ.
จบ อรรถกถาอินทริยปโรปริยัตตญาณนิทเทส