คู่สามีภรรยาหนุ่มสาว บุคลากรการบินไทย ผู้มีปัญหาสารพัน เกือบถึงขั้นที่จะหย่ากัน ก่อนที่จะได้พบและฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ คุณสันติ วานิชบุตร สจ๊วตบริษัทการบินไทย และคุณปิ่นทอง (แพท) เฉิน แอร์โฮสเตสบริษัทการบินไทย (ชาวไต้หวัน) ปัจจุบันทั้งสองท่าน เป็นสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. หมายเลข ๔๒๔๕ และ ๔๒๔๖ ตามลำดับ ได้ให้เกียรติมาร่วมสนทนากับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในรายการสนทนาปัญหาสารพัน เปิดเผยเรื่องราวในชีวิตของท่านทั้งสอง ทั้งก่อนและหลังการได้พบกับพระธรรม เป็นแบบอย่างของคู่ชีวิตหนุ่มสาวสมัยใหม่ ที่ได้พบกับความสุขที่แท้จริงในชีวิต จากความเข้าใจธรรมะ และได้มาสนทนาถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าติดตามอย่างยิ่งไว้ในรายการสนทนาปัญหาสารพัน ขอเชิญคลิกชมรายการดังกล่าว ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้...
ข้อความบางตอนจากการสนทนาในรายการ
คุณสันติ ทำงานอยู่บริษัท การบินไทยครับ แต่งงานกันมาได้ประมาณสัก ๑๓ ปีแล้ว แต่ไม่มีบุตร ไม่เห็นความสำคัญของการมีบุตร (หัวเราะ) แต่เห็นโทษของการมีบุตร ก็เลยปรึกษากันว่าไม่มีบุตรดีกว่า แล้วก็ใช้ชีวิตร่วมกันมา ๑๓ ปี ก่อนหน้านี้ก็เหมือนกับคู่ทั่วๆ ไป มีทะเลาะ มีความเห็นไม่ตรงกัน เป็นเรื่องปกติของคู่สามีภรรยา เหมือนคนทั่วไป เพิ่งจะมาสนใจพระธรรมจริงๆ เมื่อประมาณเกือบๆ ๕ ปีที่ผ่านมา
ผศ.อรรณพ แล้วมาพบพระธรรมอย่างไร
คุณสันติ พบพระธรรมบนเครื่องบินครับ (หัวเราะ) เมื่อประมาณเกือบ ๕ ปีที่แล้ว มีคนมาพูดพระสูตรให้ฟังพระสูตรหนึ่ง บอกว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์ยากขนาดไหน พอจะทราบไหม ผมก็บอกว่าไม่ทราบเลย เขาก็เลยเล่าพระสูตรเรื่องเต่าตาบอด [คลิกอ่าน...การได้ความเป็นมนุษย์ แสนยาก...พระสูตรเรื่องเต่าตาบอด) หลังจากเล่าพระสูตรเรื่องเต่าตาบอดเสร็จ เราก็มีความตกใจมาก การเกิดมาเป็นมนุษย์ยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ (คลิกฟัง...เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก) ไม่พอ ยังแสดงให้ฟังอีกว่า สังสารวัฏฏ์ที่เราอยู่มานี้ยาวนานแค่ไหน ประโยชน์อะไรกับการที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยที่ไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย แล้วก็สะสมกิเลสอะไรไปต่างๆ นาๆ
เพราะฉะนั้น สองพระสูตรนี้ ทำให้ผมเริ่มที่จะ อยากจะรู้แล้วว่า สิ่งที่เรากราบไหว้บูชากันทุกวัน ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จริงๆ แล้ว คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนอะไรกันแน่
ผศ.อรรณพ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอะไรเลย
คณสันติ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจพระธรรมเลย ใช้ชีวิตเหมือนหนุ่มเพลย์บอยทั่วไป ทั้งเที่ยวเตร่ ทั้งการพนัน คบเพื่อนเหมือนนิสัยผู้ชายทั่วไป
คุณแพท แต่ก่อนนี้คุณก็สวดมนต์ทุกวัน
คุณสันติ ใช่ครับ นี่คือตั้งแต่เด็กแล้ว แม่สอนให้สวดมนต์ ให้ไหว้พระ ให้กราบพระก่อนนอน แต่ก็สวดไปแบบเร่งรีบ สวดแบบเพื่อหวังผล แล้วก็ขออะไร หลังจากสวดเสร็จก็ต้องขอ แล้วก็ขอให้นอนหลับฝันดี (หัวเราะ) ตามปกติอย่างนี้ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
หลังจากนั้นก็อยากจะรู้ว่า สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้นคืออะไร เพื่อนก็ให้เอาซีดี ให้เอาหนังสือ (ทำท่าว่าเยอะมาก) เอามาศึกษาหมดเลย อ่านจนครบหมด คาราบาว อัสนีย์ ไมโคร (แผ่นซีดีเพลง) ที่อยู่ในรถ ก็เอาออกหมดเลย แล้วกลายเป็นซีดีพระ แทน ก็ศึกษาอยู่ร่วมสองปีกว่า ก็คิดว่าสิ่งที่ตัวเองศึกษานั้นพอจะเข้าใจ ณ ระดับหนึ่งแล้ว ก็ประพฤติปฏิบัติไป
จนวันหนึ่ง ระหว่างที่ประพฤติปฏิบัติไปสองปีกว่า ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่คนใกล้ตัวบอกว่า สิ่งที่ผมทำไปนี้ กลับเป็นสิ่งที่แย่กว่าเดิม แย่กว่าขนาดไหน แย่กว่าขนาดที่ว่า ปกติชีวิตของผมต้องขึ้นอยู่กับตารางบิน จะบินตามตารางบิน เขาจะออกตารางบินมาให้ เราหยุดวันไหน ไปทำงานวันไหน พูดง่ายๆ เราสามารถที่จะวางแผนตัวเองได้ว่า จะไปทำอะไรในวันหยุดหรืออะไรอย่างนี้ ภรรยาผมก็มีตารางบิน ผมก็มีตารางบิน ต่างคนต่างเทียบตารางบิน ถ้าวันไหนหยุดตรงกัน ภรรยากลับอึดอัดครับ ท่านอาจารย์ กลับอึดอัดที่จะได้อยู่กับผม
ผศ.อรรณพ แหมตรงข้าม ที่ว่าได้หยุดตรงกัน
คุณสันติ ทั้งๆ ที่ มีพระธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว สองปีกว่า พึ่งทุกตัวอักษร คิดว่าทุกสิ่งที่ตัวเองอ่านนั้นเข้าใจ ฟังซีดีเข้าใจ อ่านธัมมะเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย
ผศ.อรรณพ ทำอย่างไร?
คุณสันติ มีทั้งนั่งสมาธิ เดินจงกรม ประพฤติ ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ฟังธรรม ดูเหมือนครบหมดทุกอย่าง (ชีวิต) น่าจะดีขึ้น แต่ภรรยาบอก กลับเหมือนกับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ กลับแย่กว่าเก่าอีก ผมก็ไม่เข้าใจว่าแย่อย่างไร (หัวเราะ)
ผศ.อรรณพ ต้องให้คุณแพทเปิดเผยแล้ว
คุณแพท คือ ถ้าดิฉันเห็นตารางบิน วันหยุดตรงกัน ดิฉันรู้สึกกลัวมากเลย เพราะกลัวว่า ถ้าเจอเขา ถ้าวันไหนเราไม่พร้อม อารมณ์ไม่ดี หรือว่าสุขภาพไม่แข็งแรง ถ้าเราทำหน้า ที่ไม่พอใจอะไร เขาจะโมโหมาก แล้วเขาจะด่า แล้วก็จะไม่จบ (เราก็บอกเขาว่า) ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ทำไมเป็นคนขี้โมโห ทำไมด่าคำอะไรเยอะๆ
ท่านอาจารย์ แล้วตัวเองโมโหหรือเปล่าคะ?
คุณสันติ โมโหครับ แต่ไม่รู้ครับ อย่าง ก่อนที่มาฟัง (ท่านอาจารย์) เหมือนกับคนทั่วไปจริงๆ ที่ว่า กิเลสของคนอื่น สาธยายได้เป็นฉากๆ มอง เจียรนัยได้ทุกคน
ผศ.อรรณพ นี่หมายความว่า สวดมนต์ นั่งสมาธิ...
คุณสันติ ใช่ครับ แต่กิเลสของตัวเองไม่เห็น ไม่เห็น แต่ของคนอื่นเจียรนัยได้เป็นฉากๆ ไม่เคยพิจารณากิเลสของตัวเอง แต่พิจารณากิเลสของคนอื่น เพราะความที่ว่า อ่านพระสูตรเยอะ เหมือนกับว่า ถ้าโกรธครั้งหนึ่ง เหมือนกับไฟลุกท่วมศีรษะ ให้รีบดับ หรือโทษของการที่เป็นคนมักโกรธ ชาติหน้าก็จะเกิดเป็นคนที่ผิวพรรณไม่ดี มีรูปร่างอัปลักษณ์ (คลิกอ่าน...มัลลิกสูตร .. เหตุที่ทำให้มาตุคามมีรูปงาม - ทราม)
ผศ.อรรณพ ก็ได้ยินข้อความอย่างนี้
คุณสันติ เพราะฉะนั้น พอเห็นแฟนหน้าตาบึ้งตึงหน่อย ก็ทันที ใส่เขาเลย บอกโกรธทำไม
ผศ.อรรณพ แล้วที่อ่านมา ที่อะไรมา ไม่ได้ช่วยเลย
คุณแพท เขาไม่รู้ตัว
คุณสันติ ผมไม่รู้ตัวเลย ผมก็คิดว่าผมไม่ได้โกรธด้วย ณ ขณะนั้น
ผศ.อรรณพ ไม่รู้ตัวว่าโกรธ
คุณแพท ไม่รู้ ดิฉันก็บอกว่า คุณโมโหทำไม เขาก็บอกว่า ไม่ได้โมโห
คุณสันติ ใช่ แฟนก็ชี้หน้าผม บอกว่า นี่คุณกำลังโมโหอยู่นะ ผมบอกว่า ผมไม่ได้โมโห ผมโมโหได้อย่างไร เพราะการโกรธเป็นสิ่งไม่ดี ผมก็พยายามที่จะระงับความโกรธ
ท่านอาจารย์ คุณแพทต้องมีกระจก
คุณแพท ดิฉันเคยบอกว่า คุณมองกระจกสิ คุณโมโห
ท่านอาจารย์ เอากระจกติดเลย พอคุณสันติโกรธก็จะได้เห็น
คุณสันติ (หัวเราะสนุก) ใช่ครับ แล้วหลังจากอ่านพระสูตรเยอะ ก็บอกว่า การนั่งสมาธิหรืออานาปานสติ "จะได้อานิสงส์ใหญ่ ได้ผลใหญ่" พอเขาไม่ได้นั่งเหมือนกับที่ผมนั่ง ก็ไปติเขาอีก บอกว่า โมโหแล้วคุณก็ไม่สนใจนั่งสมาธิ ไม่ได้นั่งสมาธิ ก็ไม่ได้กุศลเยอะนะ ท่านทรงแสดงว่า เพียงแค่ชั่วลัดนิ้วมือเดียว โอ้โห จะ "ได้อานิสงส์มหาศาลมาก" เลย อยากจะให้เขาทำด้วย แล้วเขาไม่สนใจที่จะทำ ก็โกรธเขา แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองโกรธ พยายามเพ่งโทษ เพ่งโทษ ติเตียนคนอื่นตลอด ระหองระแหงครับ ผมก็เคยสอบถามเขาว่า ระหองระแหงถึงขาดไหน เขาบอกว่า ถ้าผมยังไม่เจอพระธรรมที่ถูกต้อง อาจจะถึงขั้นหย่าได้เลย
ผศ.อรรณพ อย่างนั้นเลยหรือครับ ไม่ไหวแล้วใช่ไหม?
คุณแพท ดิฉันเคยคิดจะย้ายออกจากบ้านเลย เคยไปหาคอนโด แล้วก็เก็บของที่บ้าน
ผศ.อรรณพ นี่คือการไปศึกษาสิ่งที่คิดว่าเป็นพระพุทธศาสนา มีการสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ แต่ผลที่ได้รับ กลับครอบครัวเป็นอย่างนี้ แล้วตอนนั้นเขาสอนอย่างไรครับ?
คุณสันติ เขาจะ "เน้นเรื่องอานิสงส์" ว่าการที่จะได้อานิสงส์ใหญ่คืออะไร ต้องทำอะไร เหมือนกับ ทุกอย่าง "เป็นตัวตนที่จะฝืนกับความรู้สึกของตัวเอง" หมด ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีอัธยาศัยอย่างนั้นเลย แต่เพราะว่า อยากได้ผล "อยากได้ผลของอานิสงส์"
ผศ.อรรณพ เอาผลมาเป็นตัวตั้ง
คุณสันติ เป็นตัวตั้ง เลยฝืนทุกอย่างที่เป็นความรู้สึกของตัวเอง เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา คนรอบข้าง ถ้าไม่ได้ทำตามสิ่งที่เราอ่านมา เราก็จะไปเพ่งโทษเขา ว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ ควรจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็จะมองคนอื่นว่า ไม่ได้เรื่อง ต่ำกว่า
ผศ.อรรณพ แต่ข้อความที่สำนักนี้สอน เขาก็เอามาจากพระไตรปิฎก เอามาจากพระพุทธพจน์โดยตรง
คุณสันติ ใช่ครับ แต่ว่า เขาจะเอามาจากพระสูตร พระสูตรต่างๆ เสียส่วนใหญ่ เขาจะไม่เอาอรรถกถา แล้วก็จะไม่เอาพระอภิธรรม
ผศ.อรรณพ เอาจากพระพุทธพจน์ พุทธวจน ล้วนๆ
คุณสันติ ใช่ครับ พุทธวจน ล้วนๆ พระวินัยบ้าง นิดๆ หน่อยๆ
ผศ.อรรณพ แล้วใครเป็นคนอธิบาย
คุณสันติ ก็ท่านอาจารย์ของเขาครับ
ผศ.อรรณพ เอาแต่พระพุทธพจน์มา แล้วก็อธิบาย
ท่านอาจารย์ เขาอ้างเหตุผลว่าอย่างไร?
คุณสันติ เขาอ้างเหตุผล ก็คือว่า เราควรจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เพราะว่าพระองค์ตรัสรู้ได้จริง ไม่สนใจคำอื่น เขาถึงไม่เอาอรรถกถา
ท่านอาจารย์ แล้วคนอื่นไม่รู้ตามด้วยหรือ? พระอรหันต์ทั้งหลาย
คุณสันติ นี่แหละครับ นี่ก็คือจุดที่ผมยังคาใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมต้องฟังคำจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เหมือนเขากำลังจะทำพระไตรปิฎกของเขาเอง ซึ่งจะเอาเฉพาะคำที่ออกจากพระโอษฐ์เท่านั้น
ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่ก็ไม่มีเหตุผลเลย ในเมื่อมีพระอรหันต์ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นอรหันต์ไม่ได้ เมื่อเป็นแล้วเขาก็สามารถที่จะแสดงความรู้และหนทางที่เขาได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งคนอื่นก็ต้องสามารถเข้าใจแล้วก็อบรมปัญญาได้ ไม่มีเหตุผลใช่ไหม?
ผศ.อรรณพ ตรงนี้ที่สำคัญนะครับท่านอาจารย์ ก็คือว่า ต้องถามคุณสันติแล้วว่า ถ้ายกแต่เฉพาะพุทธพจน์ พุทธวจน มา แล้วใครอธิบาย? ท่านใดอธิบาย แล้วท่านอธิบายอย่างไร? แล้วมีตัวอย่างไหม?
คุณสันติ ท่านก็จะใช้ความชำนาญของท่าน อธิบายเอง เช่น อย่างพระสูตรต่างๆ บางสิ่งบางอย่างก็ขัดแย้งในตัวเอง ยกตัวอย่าง อย่าง "ธรรมะทุกอย่างเป็นอนัตตา" (สัพเพ ธัมมา อนัตตา) แล้วก็ยังมีคำว่า "อัตตาหิ อัตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ "ตน" ในที่นี้ ไม่เคยจะรู้เลย ถ้าไม่ได้มาฟังธรรมจากที่มูลนิธิฯ ไม่ได้ได้ฟังคำแปลจากอรรถกถา ที่แปลว่า "ตน" ในที่นี้ ไม่ใช่เรา แต่เป็น "กุศลธรรม" เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่มีอรรถกถา เราก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจ แล้วก็ต้องแปลกันอย่างที่พวกเราเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คำพูดของเขา ไม่ใช่คำพูดของพระอรรถกถา เป็นคำพูดของตัวเอง ซึ่งอธิบายให้คนอื่นคิดว่าจะเชื่อ ใช่ไหม? ก็หมายความว่า ให้เชื่อคำอธิบายของเขา ไม่ใช่ของอรรถกถา
ผศ.อรรณพ ทีนี้ปัญหาก็จะเกิดขึ้น ปัญหาความไม่เข้าใจก็จะเกิดขึ้น เพราะคิดว่า หนึ่ง เอาพระพุทธพจน์มาพูด สอง อธิบายแบบของเขาเอง ง่ายที่จะทำให้คนส่วนใหญ่คล้อยตาม อย่างเช่น ตนเป็นที่พึ่งของตน เป็นตัวเรา เป็นตัวเราที่จะต้องพึ่งตัวเอง อย่างนี้ ไม่ได้นึกถึงความเป็นธรรมะ
ท่านอาจารย์ แต่เขาไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ต้องอธิบายได้เก่งกว่าเขาแน่นอน ใช่ไหม? แล้วทำไมเขาบอกว่า ไม่ต้องฟังสาวกคนอื่น?
ผศ.อรรณพ เท่าที่ผมทราบมาก็คือ อย่างไรคุณสันติช่วยเสริมผมด้วยนะครับ ก็คือ เขาคิดว่า ถ้าเป็นสาวกพูด อาจจะมีความไม่สมบูรณ์ ไม่เท่ากับพระพุทธเจ้าตรัสเอง
ท่านอาจารย์ แล้วเขาเองล่ะ? คนพูดน่ะ เก่งกว่าพระอรหันต์สาวก เพราะเขาอ้างว่าอาจจะไม่สมบูรณ์ แสดงว่าของเขาสมบูรณ์กว่า คือ เขาไม่รู้สึกตัวเลย อย่างที่คุณแพทว่า เวลาที่อกุศลเกิดขึ้น จะไม่รู้สึกตัว เห็นอย่างอื่นเป็นโทษ แต่ตัวเอง ทั้งๆ ที่บอกไม่ให้คนอื่นฟังพระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ แต่ว่าตัวเขาเองพูด ซึ่งเขาไม่ใช่สาวกอรหันต์
ผศ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ครับท่านอาจารย์ คือว่า เป็นอันตรายมากๆ แล้วก็เป็นโทษที่สุด ที่จะไปลบเลือนพระธรรมวินัย โดยการที่เห็นว่า อรรถกถานี่ก็ไม่ฟัง ไม่ศึกษา แต่คิดไปเอง โดยเอาพระพุทธพจน์ แล้วก็คิดเอง แต่ตอนหลัง ผมทราบว่าเขามีการปรับขึ้น ปรับก็คือว่า ถ้าตรงไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับรองแล้ว คำของพระสาวกตรงนั้นก็ใช้ได้ ก็เลยเหมือนว่าสำนักเขา มีหน้าที่ในการตรวจพิสูจน์อักษรอย่างหนึ่ง สอง ก็คือว่า เป็นผู้วินิจฉัย ว่าตรงนี้เป็นคำสอน พระพุทธเจ้ารับรองหรือยังอะไรอย่างนี้ครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพราะว่า เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง ว่า เขาเป็นใคร? ใครจะกล้าคิดว่าตนเองจะเก่งกว่าพระอรหันต์สาวกทั้งหลายในครั้งโน้น
ผศ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้มีโอกาสสนทนากับท่านอาจารย์ ที่ว่ามีศิษย์ทั้งหลายถามอาจารย์ รายการนี้แหละครับ รายการสนทนาปัญหาสารพัน ท่านอาจารย์ก็ได้คุยถึง ชีวิตท่านอาจารย์ที่ได้ศึกษาพระธรรมมา ท่านอาจารย์ก็ได้เข้าใจจากพระพุทธพจน์ และอรรถกถา ท่านอาจารย์เห็นคุณค่าของอรรถกถา อย่างไรครับท่านอาจารย์ ที่ทำให้ท่านอาจารย์เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ใครจะมีปัญญาเท่าพระที่เป็นพระอรรถกถาจารย์ในครั้งโน้น ใช่ไหม? เป็นพระอรรถกถาจารย์ แสดงว่ามีความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ จึงสามารถที่จะกล่าวถึงความหมายโดยละเอียดกว้างขวางได้ เพราะว่า "ถ้าเราคิดเอง ไม่มีทางเลย" สักคำเดียวไม่พอกับปัญญาของเรา ซึ่งไม่รู้อะไรเลย แล้วอาจหาญที่จะไป "คิดเอาเอง"
เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้ว่า ผู้ที่เป็นพระอรรถกถาจารย์น่ะ คือใครบ้าง? ใครบ้างล่ะคะ? ไม่ใช่คนอย่างยุคนี้เลย ที่จะไปเป็นพระอรรถกถาจารย์ แต่พระอรรถกถาจารย์ต้องมีความเข้าใจ คำในพระไตรปิฎกคำเดียว ความหมายตั้งแต่เบื้องต้น จนกระทั่งลึกซึ้งถึงที่สุดนั้น คืออะไร เพราะฉะนั้น อาศัย "คำ" ของพระอรรถกถาจารย์ ซึ่งท่านได้รอบรู้ในพระไตรปิฎก และในสมัยโน้น เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่เป็นอาจารย์ที่สอน ก็คือพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย เป็นพระอรรถกถาจารย์ "ปฏิสัมภิทามรรค" เป็นต้น เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?
ผศ.อรรณพ พระสารีบุตรครับ
ท่านอาจารย์ แล้วพระสารีบุตรผิดไหม?
ผศ.อรรณพ ถ้าท่านไม่มีความกรุณาอธิบายไว้ เราคงไม่สามารถที่จะรับได้
ท่านอาจารย์ ท่านเป็นใคร แค่นี้ก็ไม่รู้จักท่านพระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวกฝ่ายเลิศทางปัญญา ท่านไม่รู้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระสาวกอรหันต์ทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะรู้เท่าท่านได้ แสดงให้เห็นถึงปัญญาระดับไหน? แล้วไม่ฟังหรือ? ทุกคำต้องมีประโยชน์
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้วก็มีพระสาวกพอ ก็ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา คือคำสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ไม่สามารถที่จะไปได้ทั่วทุกแห่ง แล้วก็ไป ไม่ให้ไปสองคนที่เดียวกัน ที่หนึ่งก็คนหนึ่ง เพื่อที่ว่าจะได้ไปสู่ที่อื่นๆ ที่สามารถที่จะให้คนได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แล้วทำไมล่ะคะ เขาเป็นใคร? ที่บอกว่า ไม่ต้องฟังพระอรรถกถาจารย์ เขาเป็นใคร? เท่านั้นน่ะค่ะ ตอบได้ไหม? แล้วท่านพระสารีบุตรเป็นใคร?
ผศ.อรรณพ แล้วศึกษาอยู่ช่วงหนึ่ง
คุณสันติ สองปีครึ่ง สองปีครึ่งนี่ไม่น้อยครับ
ผศ.อรรณพ แล้วตอนนั้นที่สนใจสำนักนี้ ที่ยกเอาพระพุทธพจน์มานี่ เพราะอะไร? ตอนแรก
คุณสันติ เพราะว่า เป็นคำจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผศ.อรรณพ อย่างน้อยก็ได้ยินคำ
คุณสันติ ใช่ครับ แล้วก็เป็นพระสูตร ซึ่งเราไม่เคยฟังมาก่อน เลยทำให้เราสะกิดใจ หลังจากนั้น สองปีครึ่งเสร็จ ก็มาเจอกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ชื่อคุณณภัทร ตอนนี้ก็เป็นวิทยากรประจำมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งเขาเป็นสจ๊วตรุ่นเดียวกัน เป็นเพื่อนกัน แต่เขาศึกษากับท่านอาจารย์สุจินต์มาร่วม ๘ ปีแล้ว เขาก็มาซักถามผมว่า สันติ ธรรมะคืออะไร? แล้วยังนั่งสมาธิอยู่หรือเปล่า? อะไรต่อมิอะไร เขามาซักถามผม จนตอนแรกก็เกือบจะทะเลาะกัน เขาถามผม เขาปรามาสผมต่างๆ นานา ว่าสิ่งที่ผมทำ ผิดหมด เป็นตัวตนหมด แล้วเขาก็บอกว่านั่ง (สมาธิ) ทั้งชาตินี้ก็ไม่ได้ฌานหรอก ผมก็บอกว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้ฌาน (หัวเราะ) ตอนนี้ผมอาจจะได้แล้วก็ได้ อะไรด้วยความไม่รู้ก็ได้พูดไปหมด
ท่านอาจารย์ แต่ว่าคุณสันติก็ผ่านมาหลายสำนัก
คุณสันติ น่าจะสำนักเดียวครับ สำนักเดียว แต่ในขณะที่ฟังคำของสำนักนี้ก็แสวงหาที่อื่นด้วย เพรารู้สึกว่ายังตอบคำถามได้ไม่ตรงทุกจุด ก็ยังแสวงหาอยู่
ผศ.อรรณพ อันนี้อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คุณสันติยังเปิดใจที่จะฟังคุณณภัทร
คุณสันติ ยังเปิดใจที่จะฟังต่อ ใช่ครับ ยังไม่ปักใจร้อยเปอร์เซนต์ เพราะยังมีอะไรหลายๆ อย่าง ยังรอที่จะฟังอยู่ จนมาเจอคุณณภัทร คุณณภัทรก็ถามธรรมะที่ลึกซึ้งขึ้น ไปถึงปรมัตถธรรม ไปถึง "จิต" ถึง "เจตสิก" คำว่า "จิต" เคยได้ยินครับท่านอาจารย์ คำว่า "นิพพาน" เคยได้ยิน คำว่า "รูปธรรม-นามธรรม" เคยได้ยิน แต่คำว่า "เจตสิก" ไม่เคยได้ยินเลย ทั้งๆ ที่อ่านหนังสือมาตั้งขนาดนี้ ซีดีขนาดนี้ แต่ไม่เคยได้ยินคำว่า "เจตสิก" ผมก็บอกกับณภัทรว่า เจตสิกคืออะไร ทำไมไม่เคยได้ยินเลย ณภัทรก็บอก คำนี้เป็นคำพื้นฐานมากสำหรับธรรมะ ถ้าจะศึกษาธรรมะตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะตามปรมัตถธรรม ตามอภิธรรม ตามพระไตรปิฎก ถ้าไม่รู้จักคำว่าเจตสิก แสดงว่ายังห่างไกลจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เป็นคำที่ง่ายสำหรับในหมวดของพระอภิธรรม
เพราะฉะนั้น ผมก็เลยเริ่มที่จะสนใจ อยากจะรู้อย่างคำที่เขารู้บ้าง เขาก็แนะนำให้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ ปรากฏว่าผมฟังไปเสร็จ โอ้โฮ เป็นอะไรที่ได้ฟังนี้ ยากจริงๆ ยากขนาดที่ว่า ยากจนท้อ ทำไมสิ่งที่ผมฟังมันง่ายกว่ากันเยอะเลย แล้วก็เหมือนกับฟังควบคู่กันในขณะนั้น แต่ก็จะไปฟังสำนักนั้นมากว่าท่านอาจารย์สุจินต์ เพราะง่ายกว่าเยอะ จนขณะที่ฟังขนานกันได้ประมาณแค่สองถึงสามอาทิตย์เอง ท่านอาจารย์ไปเชียงใหม่พอดี แล้วอยู่ดีๆ ณภัทรเพื่อนผมก็โทรฯ มาถามผมว่าตอนนี้คุณสันติอยู่ที่ไหน ผมบอกว่าตอนนี้อยู่เชียงใหม่ เขาถามผมว่าพักอยู่ที่ไหน ผมบอก แคนทารี่ (โรงแรมแคนทารี่ฮิลล์ เชียงใหม่) แล้วนายล่ะ เขาบอกท่านอาจารย์มาแสดงธรรมที่แคนทารี่ โรงแรมเดียวกัน พรุ่งนี้ว่างไหม? ผมบอกว่าพรุ่งนี้บินประมาณหลังเที่ยง แต่ท่านอาจารย์แสดงธรรมช่วงเช้า พอจะมาฟังได้ไหม? ผมรีบไปฟังเลย ตอนนั้นภรรยาผมก็ตามไปเพื่อที่จะไปเที่ยวเชียงใหม่เหมือนกัน แต่พอรู้ว่าท่านอาจารย์จะมาแสดงธรรม ก็ยกเลิกที่จะเที่ยว ก็เลยไปฟังธรรมช่วงเช้า
(ขอเชิญคลิก...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมแคนทารี่ฮิลล์ เชียงใหม่ ๒๑-๒๒ กรกฏาคม ๒๕๕๘)
(ภาพครั้งแรกที่ร่วมฟังการสนทนาธรรม ณ โรงแรมแคนทารี่ฮิลล์ เชียงใหม่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘)
หลังจากฟังพระธรรมจบปุ๊บ สองชั่วโมงครึ่ง ผมบอกณภัทรว่า ณภัทรพาไปกราบท่านอาจารย์ที ผมก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ แล้วก็กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ นับตั้งแต่วันนั้น ก็ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์ แล้วก็เหมาซีดี กับหนังสือธรรมะทั้งหมดกลับมาศึกษาอย่างจริงจังตั้งแต่วันนั้น ก็เริ่มมีความเข้าใจขึ้น
ขอเชิญคลิกชมตอนอื่นๆ ได้ที่ลิงค์ด้านล่าง.....
- รายการสนทนาปัญหาสารพัน รายการใหม่ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
- สนทนาปัญหาสารพัน : แรงงานพม่า สะท้อนปัญหาชาวพุทธ
- สนทนาปัญหาสารพัน : ๑๐ ปีที่เสียไป เปิดใจอดีตแม่ชี พญ.ธิดา คงจรรักษ์
- แม่ชีคือใคร?
- สนทนาปัญหาสารพัน : รู้ความจริง ทิ้งสิ่งที่ผิด
- สนทนาปัญหาสารพัน : อดีตแม่ชีวิปัสสนาจารย์เผยวิกฤตการณ์ชาวพุทธ
- อาจารย์สุจินต์ เป็น คริสต์หรือ?
- สนทนาปัญหาสารพัน : ที่พึ่งที่แท้จริง
- สนทนาปัญหาสารพัน : แสงธรรมส่องถึง L.A. [ตอนแรก]
- สนทนาปัญหาสารพัน : เข้าใจโลกธรรม
- สนทนาปัญหาสารพัน : พบพระธรรมเพราะถูกห้าม
อนุโมทนาด้วยครับ นายและภรรยามาถูกทางแล้ว
มีความตั้งมั่นในธรรมโดยแท้จริง
อนุโมทนาด้วยครับกุศลนำพาให้พบพระธรรมที่ถูกต้องมีวาสนามากๆ ที่พบคำสอนที่ถูกและเข้าใจซึ่งหลายสำนักมักจะสอนผิดๆ ไม่เหมือนกับท่านอาจารย์สุจินต์ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งตรงตามพระไตรปิฎกมากๆ เลยครับ
ชื่นชมและอนุโมทนากับทั้งคู่เป็นย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาด้วยนะคะ อ่านแล้วรู้สึกยินดีไปด้วยที่พบทางเดินที่ถูกต้อง
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ ได้อ่านแล้วรู้สึกความติดข้องในใจกระจ่างขึ้นทีละนิดๆ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ อ.อรรณพ และ ขอขอบคุณคุณสันติและคุณแพทเป็นอย่างสูงครับ