ภวังคจิตทำให้เกิดรูปเคลื่อนไหวที่กายหรือที่อื่นๆ ได้ไหม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่หลับสนิท จิตเป็นภวังค์ แม้จะมีจิตเกิดขึ้นเป็นไป และเป็นเหตุให้เกิดรูป อย่างเช่น ลมหายใจ ได้ แต่ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถเคลื่อนไหวไปมาได้เลย
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้
ข้อความในอัฏฐสาลินี “รูปกัณฑ์” ที่ว่ามีจิต ๑๖ ดวงที่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป เพราะฉะนั้นย่อมไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกายวิญญัติและวจีวิญญัติ
จิต ๑๖ ดวง ก็คือ ปฏิสนธิจิตทุกดวง ทุกภูมิ ๑ ประเภท และจุติจิตของพระอรหันต์ ๑ ดวง และทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวง คือ จักขุวิญญาณ จิตเห็น ๒ ดวง เป็นกุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑ ดวง โสตวิญญาณจิต ๒ ดวง ฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง กายวิญญาณจิต ๒ ดวง
จิต ๑๐ ดวงนี้ เป็นจิตซึ่งมีกำลังอ่อน ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถ หรือไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกายวิญญัติ วจีวิญญัติ
นอกจากนั้นก็มีอรูปวิบากจิตอีก ๔ ดวง ซึ่งทำกิจปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด เพราะเหตุว่าเป็นการเกิดในอรูปพรหม
เว้นจิต ๑๖ ดวงนี้แล้ว จิตอื่นแม้ว่าจะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดก็จริง แต่จิตบางประเภท ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถ หรือกายวิญญัติ และวจีวิญญัติเกิดขึ้น
ซึ่งท่านผู้ฟังก็น่าจะคิดว่า เป็นในขณะไหนซึ่งจิตสามารถเป็นปัจจัยให้รูปเกิด แต่ไม่เป็นปัจจัยให้อิริยาบถ หรือกายวิญญัติและวจีวิญญัติเกิด ได้แก่ จิตประเภท “วิบากจิต”
นอกจากวิบากจิต ยังมีจิตประเภทอื่นอีก ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึงโดยละเอียด เพียงแต่จะให้ทราบว่า นอกจากจิต ๑๖ ดวงซึ่งไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด จิตอื่นแม้เป็นปัจจัยให้รูปเกิด ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถหรือวจีวิญญัตนั้น ได้แก่ ขณะที่กำลังเป็น “ภวังคจิต” เป็นต้น เช่นในขณะที่กำลังนอนหลับสนิท จิตซึ่งไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่ทวิปัญจวิญญาณแล้ว เป็นปัจจัยให้รูปเกิดได้ แต่ในขณะนั้นที่กำลังนอนหลับสนิท ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติ
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า นามธรรมบางประเภทเป็นปัจจัยให้เกิดรูป แต่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกายวิญญัติ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
แล้วการละเมอพูดหรือเดินไปมาขณะหลับแต่ไม่รู้ตัวล่ะคะ เป็นเพราะอะไร ขอบพระคุณค่ะ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๒ ครับ
ขณะที่ละเมอ ต้องไม่ใช่ขณะที่หลับสนิทอย่างแน่นอน ดังนั้น ขณะที่ละเมอ เดินไปทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก ที่เป็นวิถีจิตเกิดขึ้น อาจจะเป็นโมหมูลจิต หรือ จะเป็นโลภมูลจิต ที่มีกำลังอ่อน หรือ โทสมูลจิตที่มีกำลังอ่อน ก็ได้ ครับ
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้ .-
"บางคนละเมอตักน้ำ ละเมอเดินไปละเมอทำอะไร บางคนละเมอเก็บมะม่วง ในขณะที่เก็บมะม่วงก็จะต้องเป็นโลภมูลจิต แต่ว่ากลับไปนอนเรียบร้อย เท้าเปรอะเพราะว่าที่ต้นมะม่วงมีโคลน ตื่นขึ้นมาก็เห็นมะม่วงแล้วเท้าเปรอะ แต่ว่าไม่รู้ว่าทำอะไรไป ในขณะนั้นมีทั้งโลภมูลจิต หรือ อาจจะมีโทสมูลจิตก็ได้ แต่ว่า โมหมูลจิตต้องมีมาก ที่คั่น ทำให้ไม่สามารถจะรู้สึกตัวเลยว่า แม้ในขณะที่ทำไปด้วยโลภะ ก็มีโมหะเกิดสลับมาก"
ประมวลแล้ว ก็คือ เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลจิต นั่นเอง ครับ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ละเมอก็เหมือนฝันใช่ไหมคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอ.คำปั่นค่ะ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๔ ครับ ทั้งละเมอ ทั้งฝัน ก็เป็นความเป็นไปของวิถีจิต ซึ่งไม่ใช่ภวังคจิตอย่างแน่นอน ครับ แต่ละเมอ เป็นอกุศล ส่วน ฝัน อาจจะเป็นกุศล หรือ อกุศล ก็ได้ ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนากุศลจิตอ.คำปั่นค่ะ
แสดงธรรมได้ละเอียดมาก ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณที่ถามคำถามที่ดีมาก และกราบขอบพระคุณมากๆ ในทุกคำตอบที่ละเอียดเข้าใจได้ง่าย กราบอนุโมทนาเจ้าค่ะ