มีคนที่รู้จักกัน มาขอยืมเงินเรา เราก็ให้เขาไป ทั้งๆ ที่รู้ว่า ไม่ได้เงินนั้นคืนแน่ๆ ตอนที่เราให้ไป เราก็คิดว่าจะให้เขาไป เพราะเขามีสามีและลูกไม่ดีเขาจึงดิ้นรนมาขอยืมเงินไปใช้ แต่มีคนบอกว่า เขาทำอย่างนี้ เขาจะต้องตามไปใช้หนี้เราในชาติหน้า แต่เราไม่ต้องการให้เขา ตามไปใช้หนี้เราในชาติหน้า (เพราะการที่มีชีวิตที่เป็นหนี้ มันทุกข์นะ) ถ้าเราคิดว่าจะไม่เอาเงินนั้นคืน เขายังจะต้องเป็นหนี้เราในชาติหน้าหรือเปล่า (ถ้าเราขอได้ เราขอให้เขาไม่ต้องเป็นหนี้เราในชาติหน้านะ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับการให้ เพื่อประโยชน์อนุเคราะห์กับผู้อื่น เป็นสิ่งที่สมควร ส่วนผู้ที่ยืม หากไม่มีเจตนาจะให้คืน ก็เป็นอกุศลของผู้ที่ยืม แต่จะเป็นอกุศลกรรมบถ คือ จะทำให้ จะต้องได้รับวิบาก คือ ผลของกรรมทำให้ตกนรก ไปอบายภูมิและเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหน้า ผลของอทินนาทานก็จะทำให้สูญเสียทรัพย์ต่างๆ ไปเช่นกัน ซึ่ง องค์ของอทินนาทานคือการถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้ ครับ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 190
ข้อความบางตอนจาก ... วรรณาจุลศีล
อทินนาทาน มีองค์ ๕
อทินนาทานนั้น มีองค์ ๕ คือ
๑. ปรปริคฺคหิตํ ของที่เจ้าของหวงแหน
๒. ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา รู้อยู่ว่า เป็นของที่เจ้าของหวงแหน
๓. เถยฺยจิตฺตํ จิตคิดลัก
๔. อุปกฺกโม พยายามลัก
๕. เตน หรณํ ลักมาได้ด้วยความพยายามนั้น
ซึ่งหากครบ ทั้ง ๕ ประการนี้ ก็จะทำให้ผู้ที่ยืม จะต้องได้รับผลของกรรม มีการตกนรก เป็นต้น และเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ทำให้สูญเสียทรัพย์ ครับ
แต่จากกรณีนี้ ผู้ที่ให้ยืม ตัวคุณเองนั้น ไม่ได้หวงแหนทรัพย์เลย คือ เจ้าของไม่ได้หวงแหน ซึ่งก็ขาดองค์ประกอบ ไม่เข้ากับข้อที่ ๑ เพราะมีเจตนาที่จะให้อยู่แล้ว ไม่ได้หวงแหน ครับ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยืมก็ไม่ต้องมาชดใช้กรรม ครับ
ในความเป็นจริงนั้น ไม่มีใคร ไม่มี สัตว์ บุคคลคนเดิม ที่จะต้องตามมาใช้หนี้อีกซ้ำๆ กันไปทุกชาติ ครับ เพราะ ผลของอทินนาทาน มีการไม่ใช้หนี้ เป็นต้น ก็ทำให้เกิดผล คือ เสียทรัพย์เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ แม้ว่า ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์ บุคคล ทำให้เสีย ก็อาจถูกไฟไหม้ทำลายทรัพย์สินก็ได้ ลืมทรัพย์ไว้ก็ได้ โดยไม่มีบุคคลคนเดิมจะต้องมาใช้หนี้หรือทวงหนี้ตามกันไปทุกชาติ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณนะคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การสงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเขาไม่เดือดร้อนจริง เขาคงไม่มาขอยืมเราเป็นแน่ ก็ช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ นอกจากจะมีการให้ยืมเงินแล้ว อาจจะมีคำแนะนำที่ดี ให้ข้อคิดต่างๆ ในการดำเนินชีวิตด้วย ก็ย่อมจะเป็นการดี เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง ถึงแม้เขาไม่คืนให้ ก็ถือว่าได้ช่วยเหลือเขาไป ยกให้ ไม่หวงแหน อย่างนี้ก็จะเบาสบาย ไม่เดือดร้อนใจ
เมื่อได้ศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เข้าใจในเหตุในผลของธรรม มีความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม ก็จะอุปการะเกื้อกูลให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศล สะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาต่อไป สะสมที่พึ่งให้กับตนเอง ไม่เกิดความไม่พอใจในความประพฤติที่ไม่ดีของบุคคลอื่น แต่จะมีความสงสารเห็นใจเขา เป็นการเห็นใจคนที่ยังมีกิเลสด้วยกัน เพราะใครก็ตามที่ยังดับกิเลสอะไรๆ ไม่ได้ ก็มากไปด้วยกิเลสเหมือนกันทั้งนั้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ทันที่ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็เป็นหนี้บุญคุณของพ่อแม่แล้ว ถ้าเราทดแทนคุณ เลี้ยงดูพ่อแม่ ก็ชื่อว่าใช้หนี้แล้ว การชักชวนพ่อแม่ทำบุญ รักษาศีล ก็ชื่อว่าตอบแทนพระคุณเช่นกัน การให้ทาน ทำบุญ เป็นการฝังขุมทรัพย์ ค่ะ
ดังนั้น จึงควร อบรม เจริญปัญญา จะได้ไม่ต้องมีการไปทวงหนี้หรือใช้หนี้ ต่อไป
ขออนุโมทนา
ยืมครั้ง สองครั้ง เรื่องเล็กไม่มีปัญหา แต่ถ้าเจอยืมบ่อยๆ แบบไม่จบ นับได้เป็น ๕๐ ครั้ง และดูแววว่าจะยืมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ต้องพบกันและไม่คืนด้วย
ขอคำแนะนำด้วยครับ สำหรับท่านที่มีประสบการณ์
มีหลายคนที่ยืมเราแล้วไม่คืน แล้วก็มายืมอีก เราก็ให้นะ (เพราะเขายืมเงินเราครั้งละไม่มากเช่น ๑๐๐-๓๐๐ บาท เราก็คิดว่าช่วยเขานะ แต่ถ้าเราเจอคนที่นิสัยไม่ดีมายืม (คือคนที่ไม่รู้จักทำมาหากิน เที่ยวมาหลอกยืมเงินคนอื่น เราจะไม่ให้เขาอีกเลย มันจะสร้างนิสัยไม่ดีให้เขา)
แล้วเราก็มีเพื่อนเราอยู่คนหนึ่งเขาเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง ๗๐,๐๐๐.- บาท เราก็ให้เขายืมนะ จนบัดนี้ยังไม่ได้คืนเลย แต่เขาบอกว่าจะให้เราในปี ๕๖ เพราะเขาขอใช้หนี้ในรายอื่นก่อน เราก็ยอมนะ เพราะคิดว่าเขาคงจะมีสัจจะนะ เพราะตัวเราก็ยังไม่จำเป็นใช้เงินนั้น แต่ถ้าเขาจะโกงเงินเรา เราคิดว่าเราก็ไม่เป็นทุกข์นะ ตราบใดถ้าเราให้ใครยืมเงิน แล้วก็ให้คิดว่าเราให้เขาไปเลย หรือไม่ก็คิดเสียว่าชาติที่แล้วเราเป็นหนี้เขาชาตินี้เขาเลยมาทวงเงินนั้นคืน
(ถ้าเรายังมีร่างกายที่แข็งแรง และมีความขยัน ไม่งอมืองอเท้า เราก็จะหาเงินได้ใหม่อีกนะ)