พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายเปตวัตถุเล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 411
จูฬวรรคที่ ๓
๖. เสรินีเปติวัตถุ
ว่าด้วยคนตระหนี่ไปเกิดเป็นเปรต
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 411
๖. เสรินีเปติวัตถุ
ว่าด้วยคนตระหนี่ไปเกิดเป็นเปรต
อุบาสกคนหนึ่งถามนางเปรตเสรินีว่า
[๑๑๖] ท่านเปลือยกาย มีผิวพรรณน่าเกลียด ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ผอมยิ่งนักจนเห็นแต่ซี่โครง ท่านเป็นใคร มายืนอยู่ที่นี้.
นางเปรตเสรินีตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ตกทุกข์ เกิดในยมโลก ทำกรรมอันลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
อุบาสกถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือเพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
นางเปรตเสรินีตอบว่า
เมื่อสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นที่พึ่งอันหาโทษมิได้ มีอยู่ ดิฉันถูกความตระหนี่ครอบงำ จึงไม่สั่งสมบุญแม้เพียงกึ่งมาสก เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน ดิฉันหิวน้ำ เข้าไปใกล้แม่น้ำ แม่น้ำกลับว่างเปล่าไป ในเวลาร้อน ดิฉัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 412
เข้าไปสู่ร่มไม้ ร่มไม้กลับกลายเป็นแดดไป ทั้งลมก็กลับกลายเป็นเปลวไฟเผาร่างกายของดิฉันฟุ้งไป ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันควรจะเสวยทุกข์ มีความกระหายเป็นต้น ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้าทารุณกว่านั้น ท่านไป ถึงหัตถินีนครแล้ว ขอช่วยบอกแก่มารดาของดิฉันว่า เราเห็นธิดาของท่านตกทุกข์ เกิดในยมโลก เขาจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก เพราะทำบาปกรรมไว้ ทรัพย์ของดิฉันมีอยู่ ๔ แสน ดิฉันซ่อนไว้ภายใต้เตียง ไม่ได้บอกใครๆ ขอมารดาของดิฉันจงถือเอาทรัพย์จากที่ซ่อนไว้นั้น ให้ทานบ้าง เลี้ยงชีวิตบ้าง ครั้นให้ทานแล้ว ขอจงอุทิศส่วนบุญมาให้แก่ดิฉันบ้าง เมื่อนั้นจะมีความสุข สำเร็จความประสงค์ทั้งปวง อุบาสกนั้นรับคำของนางเปรตเสรินีแล้วกลับไปสู่หัตถินีนคร บอกแก่มารดาของนางว่า ข้าพเจ้าเห็นนางเสรินีธิดาของท่าน เขาตกทุกข์ เกิดในยมโลก เพราะได้ทำกรรมชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก นางได้สั่งฉันในที่นั้นว่า ท่านไปถึงหัตถินีนครแล้ว จงบอกแก่มารดาของดิฉันด้วยว่า ธิดาของท่านเราเห็นแล้ว ตกทุกข์ เกิดอยู่ในยมโลก เพราะทำกรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 413
ชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก ทรัพย์ของดิฉันมีอยู่ ๔ แสน ดิฉันซ่อนไว้ภายใต้เตียงไม่ได้บอกใครๆ ขอมารดาของดิฉันจงถือเอาทรัพย์จากที่ซ่อนนั้นมาให้ทานบ้าง เลี้ยงชีวิตบ้าง ครั้นให้ทานแล้วขอจงอุทิศส่วนบุญไปให้แก่ดิฉัน เมื่อนั้น ดิฉันจักมีความสุขสำเร็จความประสงค์ทั้งปวง ก็มารดาของนางเปรตเสรินีนั้น ถือเอาทรัพย์ที่นางเปรตเสรินีซ่อนไว้นั้นมาให้ทาน ครั้นแล้วอุทิศส่วนบุญไปให้นางเปรตเสรินี นางเปรตเสรินีเป็นผู้มีความสุขแม้มารดาของนางก็เป็นอยู่สบาย.
จบ เสรินีเปติวัตถุที่ ๖
อรรถกถาเสรินีเปติวัตถุที่ ๖
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเสรินีเปรต จึงได้ตรัสพระคาถามีคำเริ่มต้นว่า นคฺคา ทฺพฺพณฺณรูปาสิ ดังนี้.
ได้ยินว่าในหัตถินีบุรี ในแคว้นกุรุรัฐ มีหญิงคนหนึ่งชื่อว่า เสรินี ได้เป็นผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีวิต. ก็ภิกษุทั้งหลายจากที่นั้นๆ ได้มาประชุมกันในหัตถินีบุรีนั้น เพื่อต้องการทำอุโบสถ. ได้มีภิกษุจำนวนมากมาประชุมกันอีก. มนุษย์ทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงจัดเตรียมเครื่องอุปกรณ์ในการบำเพ็ญทานเป็นอันมาก มีเมล็ดงา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 414
และข้าวสารเป็นต้น และมีเนยใส เนยข้น และน้ำผึ้งเป็นต้น บำเพ็ญมหาทาน. ก็สมัยนั้น นางคณิกาคนนั้นไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส จิตถูกกลุ้มรุมด้วยมลทินคือความตระหนี่ แม้จะถูกพวกมนุษย์เหล่านั้นให้กำลังใจว่า มาซิเธอ ก่อนอื่นจงอนุโมทนาทานนี้ ก็ประกาศยืนยันความไม่เลื่อมใสแก่มนุษย์เหล่านั้นว่า จะประโยชน์อะไรด้วยทานที่ให้แก่พวกสมณะโล้น การบริจาคสิ่งของมีประมาณเล็กน้อย จักมีแต่ไหน.
สมัยต่อมา นางทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตที่หลังคูแห่งปัจจันตนครแห่งหนึ่ง. ลำดับนั้น อุบาสกชาวเมืองหัตถินีบุรีคนหนึ่ง ไปยังนครนั้นเพื่อการค้า ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ได้ไปยังหลังคูด้วยประโยชน์เช่นนั้น. นางเห็นเขาที่นั้นก็จำได้ เป็นคนเปลือย มีร่างกายเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เห็นเข้าน่าสะพึงกลัวยิ่งนัก ได้ยืนแสดงตนอยู่ในที่ไม่ไกล. อุบาสกนั้นเห็นนางนั้นกลัว ถามเป็นคาถาว่า :-
ท่านเปลือยกาย มีรูปพรรณน่าเกลียด ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูก่อนนางผู้ซูบผอม จนเห็นแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครหนอ มายืนอยู่ที่นี้.
ฝ่ายนางเปรตจึงประกาศตนแก่อุบาสกนั้นด้วยคาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ตกทุกข์ได้ยาก เกิดในยมโลก ทำกรรมอันลามกไว้ จึงจากโลกนี้ ไปสู่เปตโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 415
นางถูกอุบาสกนั้น ถามถึงกรรมที่ตนกระทำด้วยคาถาอีกว่า :-
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา และใจ หรือเพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก
จึงบอกกรรมที่ตนกระทำไว้ และประโยชน์ที่เขาพึงกระทำให้แก่ตนอีก ด้วยคาถา ๖ คาถานี้ว่า :-
ดิฉันได้ค้นทาทรัพย์มาได้กึ่งมาสก ในที่ที่ไม่มีใครหวงห้าม เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ดิฉันไม่ได้กระทำที่พึ่งแก่ตนไว้ ดิฉันกระหายน้ำ เข้าไปยังแม่น้ำ แม่น้ำก็กลับว่างเปล่าไป ในเวลาร้อน ดิฉันเข้าไปยังร่มไม้ ร่มไม้กลับกลายเป็นแดดไป ทั้งลมก็กลับกลายเป็นเปลวไฟไป เผาร่างของดิฉันฟุ้งไป ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันควรจะเสวยทุกข์มีความกระหายเป็นต้น ตามที่ท่านกล่าวแล้วนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้าทารุณกว่านั้น ท่านไปถึงหัตถินีนครแล้ว ขอช่วยบอกแก่มารดาดิฉันว่า เราเห็นธิดาของท่านตกทุกข์ เกิดในยมโลก เขาจากโลกนี้ไปยังเปตโลก เพราะทำ บาปกรรมไว้ ทรัพย์ของดิฉันมีอยู่ ๔๐๐,๐๐๐ ดิฉันซ่อนไว้ภายใต้เตียง ไม่ได้บอกแก่ใครๆ ขอมารดาของดิฉันจงถือเอาทรัพย์จากที่ซ่อนไว้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 416
นั้นเถิด ให้ทานบ้าง เลี้ยงชีวิตบ้าง ครั้นให้ทานแล้ว ขอจงอุทิศส่วนบุญมาให้แก่ดิฉันบ้าง เมื่อนั้น ดิฉันก็จะมีความสุข สำเร็จความประสงค์ทั้งปวง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนาวเฏสุ ติตฺเถสุ ความว่า ในถิ่นที่เป็นท่าของแม่น้ำ และสระน้ำเป็นต้น ที่ใครๆ ไม่หวงห้าม คือ ในที่ที่พวกมนุษย์อาบและทำกิจด้วยน้ำเช่นนั้น. บทว่า วิจินึ อฑฺฒมาสกํ ความว่า ดิฉันถูกความโลภครอบงำ ค้นหา คือแสวงหา ได้ทรัพย์เพียงกึ่งมาสก ด้วยคิดว่า ไฉนหนอเราพึงได้อะไรสักอย่างหนึ่ง ในที่นี้ ที่พวกมนุษย์วางลืมไว้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อนาวเฏสุ ติตฺเถสุ ความว่า เมื่อสมณพราหมณ์อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย โดยความเป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์อันเนื่องด้วยความพยายามของปวงสัตว์ ซึ่งไม่มีใครหวงห้าม โดยการเข้าไปหา มีอยู่. บทว่า วิจินึ อฑฺฒมาสกํ ความว่า ดิฉันมีจิตถูกมลทินคือ ความตระหนี่กลุ้มรุม จึงไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ จึงเก็บทรัพย์ไว้เป็นพิเศษกึ่งมาสก จึงไม่สั่งสมบุญไว้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อไทยธรรมมีอยู่ ดิฉันจึงไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน ดังนี้ เป็นต้น.
บทว่า ตสิตา ได้แก่ ผู้กระหายแล้ว. บทว่า ริตฺตกา ความว่า แม่น้ำที่กาพอจะพึงดื่มได้ ไหลไปอยู่ ก็กลับกลายเป็นแม่น้ำว่างเปล่าจากน้ำ มีเพียงทราย เพราะกรรมชั่วของดิฉัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 417
บทว่า อุณฺเหสุ ได้แก่ ในฤดูร้อน. บทว่า อาตโป ปริวตฺตติ ความว่า ที่ที่มีร่มเงา เมื่อดิฉันเข้าไป ก็กลับกลายเป็นแดดไป.
บทว่า อคฺคิวณฺโณ ได้แก่ มีสัมผัสเช่นกับไฟ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แผดเผาฟุ้งตลบไป ดังนี้เป็นต้น. นางเปรตเรียกอุบาสกนั้นด้วยความเคารพว่า ภนฺเต ในบทว่า เอตญฺจ ภนฺเต อรหามิ นี้ อธิบายว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ดิฉันสมควรเสวยทุกข์อันเกิดแต่ความกระหาย เป็นต้น ตามที่กล่าวแล้วนี้ และทุกข์อย่างอื่นอันลามก ทารุณกว่านั้น เพราะดิฉันได้กระทำกรรมชั่ว อันเกิดแต่การกระทำนั้น. บทว่า วชฺเชสิ แปลว่า พึงกล่าว.
บทว่า เอตฺถ นิกฺขิตฺตํ อนกฺขาตํ ความว่า ดิฉันไม่ได้บอกว่า ทรัพย์มีประมาณเท่านี้เก็บไว้ในที่นี้. บัดนี้ นางเปรตเมื่อจะแสดงปริมาณของทรัพย์นั้น จึงกล่าวว่า ทรัพย์ ๔๐๐,๐๐๐ ดิฉันได้เก็บซ่อนไว้ภายใต้เตียง ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปลฺลงฺกสฺส ได้แก่บัลลังก์อันเป็นที่นอนของตนในกาลก่อน. บทว่า ตโต ความว่า ขอมารดาจงถือเอาทรัพย์ส่วนหนึ่งจากทรัพย์ที่ดิฉันฝังไว้ แล้วจงให้ทานอุทิศถึงดิฉัน. บทว่า ตสฺสา ได้แก่ มารดาของดิฉัน.
เมื่อนางเปรตนั้นกล่าวอย่างนี้ อุบาสกนั้นรับคำของนางนั้น แล้วพิจารณากรณียกิจของตนในที่นั้น จึงไปยังหัตถินีนคร แจ้งเรื่องนั้นแก่มารดาของนาง. เพื่อจะแสดงเรื่องนั้น พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 418
อุบาสกนั้นรับคำของนางเปรตนั้นแล้ว กลับไปสู่หัตถินีนคร บอกแก่มารดาของนางว่า ข้าพเจ้าเห็นธิดาของท่าน เขาตกทุกข์ เกิดในยมโลก เพราะได้กระทำกรรมชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก นางได้สั่งฉันในที่นั้นว่า ท่านไปถึงหัตถินีนครแล้ว จงบอกแก่มารดาของดิฉันด้วยว่า ธิดาของท่านเราเห็นแล้ว ตกทุกข์ เกิดอยู่ในยมโลก เพราะทำกรรมชั่วไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก ทรัพย์ของดิฉันมีอยู่ ๔๐๐,๐๐๐ ดิฉันซ่อนไว้ภายใต้เตียงไม่ได้บอกแก่ใครๆ ขอมารดาของดิฉันจงถือเอาทรัพย์จากที่ซ่อนไว้นั้น มาให้ทานบ้าง เลี้ยงชีวิตบ้าง ครั้นให้ทานแล้ว จงอุทิศส่วนบุญไปได้แก่ดิฉัน เมื่อนั้น ดิฉัน จักมีความสุข สำเร็จความประสงค์ทั้งปวง ก็มารดาของนางเปรตนั้น ถือเอาทรัพย์ที่นางเปรตซ่อนไว้นั้น มาให้ทาน ครั้นแล้วอุทิศส่วนบุญไปให้นางเปรต นางเปรตเป็นผู้มีความสุข แม้มารดาของนางก็เป็นอยู่สบาย.
คาถาเหล่านั้นรู้ได้ง่ายทีเดียว.
มารดาของนางได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ อุทิศไปให้นาง. เพราะเหตุนั้น นางตั้งอยู่ในความสมบูรณ์ ด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 419
เครื่องอุปกรณ์ที่ได้มาแสดงตนแก่มารดา บอกเหตุนั้นให้ทราบ มารดาแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ จึงทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชนฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาเสรินีเปติวัตถุที่ ๖