ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่อาคารบุญอินทรัมพรรย์
คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันอังคารที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑
~ สิ่งที่เกิด มีชั่วคราว แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เราอยู่ไหน?
~ มีชีวิตอยู่ทุกวันไป เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ โดยไม่รู้เลยว่าใครจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ วันไหน เวลาไหน เมื่อมีเหตุที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไป ก็ต้องเป็น ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้
~ เกิดมาแล้ว ก่อนจะจากโลกนี้ไป สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ดีกว่าเกิดมาสุขทุกข์ชั่วคราว ลาภ ยศ สรรเสริญ เดี๋ยวมีเดี๋ยวหมด แล้วก็จากโลกนี้ไป เอาอะไรไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไร นอกจากว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ เข้าใจว่า มี แต่แล้ว ก็ไม่มี
~ เกิดมาแล้ว ถ้าเราได้มีความเข้าใจความจริง เราจะลดความเดือดร้อนใจลงไปมาก เพราะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่ยั่งยืนเลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใครจริงๆ เพราะชั่วคราว เกิดมีแล้วก็หมดไป
~ ธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เราฟังไม่กี่คำ ซึ่งมีคำอีกมากที่เมื่อได้ฟังแล้วก็จะทำให้เข้าใจมั่นคงยิ่งขึ้น ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
~ แต่ละขณะเมื่อเกิดแล้วดับไป เหมือนตายไปๆ อยู่เรื่อยๆ แล้วจะมีเราที่ไหน เพราะฉะนั้น การฟังธรรม เพื่อเข้าใจความจริง ใครจะอยากฟังหรือไม่อยากฟัง ความจริงก็เป็นอย่างนี้
~ ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเข้าใจแต่ละคำ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา
~ ธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ปนกัน เห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้น เห็นปนกับได้ยินไม่ได้, เดี๋ยวนี้ ขณะที่ได้ยิน มี เห็น ต้องไม่มี นี่คือสิ่งที่ชาวโลกไม่รู้
~ ค่อยๆ เข้าใจทีละคำว่า ธรรม มีจริง ธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แค่นี้ก่อน แล้วก็พิจารณาดูว่าจริงไหม คนเราเกิดมาต่างกันมาก ใครทำ มีใครทำหรือเปล่า แต่เป็นแล้วอย่างนั้น คนตาบอด ก็มี ใครทำ คนที่ตาไม่บอด ก็มี ใครทำ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีตามเหตุตามปัจจัยที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น
~ เริ่มรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทุกอย่างที่เกิด หลากหลายตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย
~ ไม่มีใครอยากโกรธ แต่ก็โกรธ มีจริงๆ เพราะฉะนั้น โกรธ เป็นธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม โต๊ะเก้าอี้ไม่โกรธ จะไปทุบไปตีอย่างไร ก็ไม่โกรธ เพราะไม่ใช่สภาพรู้
~ สิ่งที่มีจริงนั่นแหละ จะใช้คำว่าธรรม แล้วก็ใช้คำว่า ธาตุ ด้วย หมายความว่า สิ่งนั้นดำรงความเป็นสิ่งนั้นซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมแต่ละหนึ่ง ก็คือ ธาตุแต่ละหนึ่ง นั่นเอง
~ ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะแรกของชาติหน้าเกิดต่อทันที โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้น ตายแล้วเกิดทันที ที่เกิด ก็คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์) และเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นพร้อมกับรูป ซึ่งกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น สิ้นสุดความเป็นบุคคลก่อนแล้ว จะกลับไปเป็นบุคคลนั้นอีกไม่ได้เลย
~ ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ยากมาก เพียงเท่านี้ ฟังไม่กี่คำ เพิ่งค่อยๆ รู้บ้างว่าสิ่งที่มี ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้เลย นอกจากเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ต่างกันเป็นนามธรรม (สภาพรู้) กับรูปธรรม (สภาพที่ไม่รู้อะไร) แล้วก็เกิดด้วยดับด้วย ไม่เหลือเลย
~ ธรรมอยู่ไหน? อยู่ที่นี่ เห็น อยู่ที่นี่ ได้ยิน, เห็นเมื่อไหร่ ได้ยินเมื่อไหร่ นั่นแหละ มีจริงๆ เป็นธรรม
~ แต่ละคำที่เป็นพุทธพจน์ คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว เป็นคำจริงซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา พรหม ยังต้องลงมาเฝ้าทูลถามปัญหากับพระองค์ แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครจะเปรียบพระองค์ได้ในพระปัญญาคุณ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติสิกขาบท (สิ่งที่จะต้องศึกษาและน้อมประพฤติตาม) เพื่อที่จะให้ผู้ที่ขออุปสมบท (ขอบวช) ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ดำเนินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งกายและวาจาที่จะต้องขัดเกลาตั้งแต่ตื่นจนหลับ ผู้นั้นไม่เปลี่ยน (สิกขาบทที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้) เพราะว่า มีความมั่นคง
~ คำสอนใดที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและผู้นั้นสามารถที่จะเข้าใจมั่นคงได้ ผู้นั้น ก็จะไม่เปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมและพระวินัย ก็จะดำรงรักษาความมั่นคงไว้ เพราะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พระภิกษุ รับเงินรับทอง หรือว่า สำนักปฏิบัติซึ่งทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมดนั้น ก็ไม่ใช่เถรวาท เพราะเหตุว่า ไม่ได้เป็นผู้ที่มั่นคงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร
[ความหมายของเถรวาท คือ คำที่มั่นคง หมายถึง คำของผู้ที่มีความเข้าใจพระศาสนาอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยน ตั้งแต่ในครั้งอดีต คือ พระอรหันตเถระทั้งหลาย วาทะของท่านซึ่งมั่นคงแล้วก็สืบทอดต่อมา เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่ตรงต่อความหมายที่แท้จริงของพระศาสนา เท่านั้น ตรงนั้น เป็นเถรวาท/// อ้างอิงจากหัวข้อนี้ ... ไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม และขอเชิญอ่านเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อนี้ ... หน้าที่ของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา]
~ ถ้าไม่มีความมั่นคงในความเข้าใจที่ถูกต้อง ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่เถรวาท
~ ภิกษุรับเงินทอง เป็นเถรวาทหรือเปล่า? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร พระองค์ทรงเป็นผู้บัญญัติสิกขาบทสำหรับพระภิกษุเพื่อขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะผู้จะบวชต้องรู้ว่าไม่ใช่คฤหัสถ์, บวชทำไม? ถ้าเป็นภิกษุที่เป็นเถรวาท ก็บวชเพื่อขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้นในเพศบรรพชิตซึ่งต่างกับเพศคฤหัสถ์ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตื่นขึ้นก็รู้แล้วว่าเราไม่ใช่คฤหัสถ์อีกต่อไป และสิ่งที่พระภิกษุจะต่างจากคฤหัสถ์ ก็โดยสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพระเจ้าทรงบัญญัติเพื่อการขัดเกลากิเลส
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนากุศลจิตที่เกื้อกูลให้ได้เข้าใจพระธรรมค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนา กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยเกล้า
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ