นันทสูตร ว่าด้วยเรื่องบอกคืนสิกขาลาเพศ (๒) ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับท่านพระนันทะที่แขนแล้วทรงหายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์เหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น.
ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีเท้าดุจนกพิราบมาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะจอมเทพ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระนันทะว่า ดูก่อนนันทะ เธอเห็นนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านี้ผู้มีเท้าดุจนกพิราบหรือไม่ ท่านพระนันทะทูลรับว่า เห็น พระเจ้าข้า.พ. ดูก่อนนันทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นางสา-กิยานี ผู้ชนบทกัลยาณี หรือนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ไหนหนอมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า.
น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิง ตัวมีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้หูและจมูกขาด ฉันใด นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยาณีก็ฉันนั้นแล เมื่อเทียบกับนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่งเสี้ยวไม่เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงการเอาเข้าไปเปรียบว่าหญิงนี้เป็นเช่นนั้น ที่แท้นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้มีรูปงามกว่า น่าดู
กว่า และน่าเลื่อมใสกว่าพระเจ้าข้า.
พ. ยินดีเถิดนันทะ อภิรมย์เถิดนันทะ เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ.
น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับรองข้าพระองค์เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้
ข้าพระองค์จักยินดีประพฤติพรหมจรรย์ พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับท่านพระนันทะที่แขน
แล้วทรงหายจากเทวดาชั้นดาวดึงส์ ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน เหมือน
บุรุษมีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย
ได้สดับข่าวว่า ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรส
ของพระมาตุจฉา ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่งนางอัปสร ได้ยิน
ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ
๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ.
ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ
ย่อมร้องเรียกท่านพระนันทะด้วยวาทะว่าเป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าผู้อัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มาว่า ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง
ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มา ท่าน
ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสร ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ.
ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะอึดอัด ระอา เกลียดชังด้วยวาทะว่าเป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
อย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระนันทะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวน
พระอรหันต์ทั้งหลาย. ....... ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาจึง สถาปนาท่านพระนันทะนั้นไว้ในเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเรา ผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ท่านนันทะเป็นเลิศ (พระภาดา คือโอรสร่วมบิดาเดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระมาตุจฉา คือ พระน้านาง นามว่า มหาปชาบดีโคตมี)