[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 657
๒. วานรชาดก
ผู้รู้เท่าถึงเหตุการณ์เอาตัวรอดได้
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 657
๒. วานรชาดก
ผู้รู้เท่าถึงเหตุการณ์เอาตัวรอดได้
[๖๖๖] ดูก่อนจระเข้ เราสามารถยกตนขึ้นจากน้ำสู่บกได้แล้ว บัดนี้ เราจะไม่ตกอยู่ในอํานาจของท่านอีกต่อไป.
[๖๖๗] เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้าและผลขนุนทั้งหลาย ที่จะต้องข้ามฝังแม่น้ำไปบริโภค ผลมะเดื่อของเราดีกว่า.
[๖๖๘] ผู้ใดไม่รู้เท่าถึงเหตุการณ์อันเกิดขึ้นแล้วโดยฉับพลัน ผู้นั้นจะต้องตกอยู่ในอํานาจของศัตรู และต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง.
[๖๖๙] ส่วนผู้ใดรู้เท่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้นย่อมพ้นจากความคับขันอันเกิดแต่ศัตรู และไม่ต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง.
จบ วานรชาดกที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 658
อรรถกถาวานรชาดกที่ ๒
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระองค์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า อสกฺขึ วต อตฺตานํ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารไว้แล้วทีเดียว.
ส่วนเรื่องในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกําเนิดกระบี่ ในหิมวันตประเทศ เจริญวัยแล้วอยู่ ณ ที่ฝังแม่น้ำคงคา. ครั้งนั้น นางจระเข้ตัวหนึ่งในแม่น้ำคงคา เกิดแพ้ท้อง อยากกินเนื้อหัวใจของพระโพธิสัตว์ จึงบอกแก่จระเข้สามี. จระเข้สามีนั้นคิดว่า เราจักให้กระบี่นั้นดําลงในน้ำแล้วฆ่าเสีย ให้เนื้อหัวใจแก่นางจระเข้ผู้ภรรยา จึงกล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า มาเถิดเพื่อน พวกเราจะไปกินผลมะม่วงที่ระหว่างเกาะด้วยกัน. พระมหาสัตว์กล่าวว่า เราจักไปได้อย่างไร. จระเข้กล่าวว่า เราจักให้ท่านนั่งบนบัลลังเรานําไป. พระมหาสัตว์นั้นไม่รู้ความคิดของจระเข้นั้น จึงโดดไปนั่งบนหลัง. จระเข้ไปได้หน่อยหนึ่งจึงเริ่มจะดําน้ำ ลําดับนั้น วานรจึงกล่าวกะจระเข้นั้นว่า ท่านผู้เจริญท่านจะให้เราดํารงในน้ำทําไม. จระเข้กล่าวว่า เราจักฆ่าท่านแล้วให้เนื้อหัวใจแก่ภรรยาของเรา. วานรกล่าวว่า ช้าก่อน ท่านเข้าใจว่าเนื้อหัวใจของเราอยู่ที่อกหรือ. จระเข้กล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เนื้อหัวใจของท่านตั้งอยู่ที่ไหน. วานรกล่าวว่า ท่านไม่เห็นเนื้อหัวใจนั้น ซึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 659
ห้อยอยู่ที่ต้นมะเดื่อหรือ. จระเข้กล่าวว่า เห็นแต่ท่านจักให้เราหรือ.วานรกล่าวว่า เออจักให้. เพราะความโง่เขา จระเข้จึงพาวานรนั้นไปยังโคนต้นมะเดื่อ ที่ริมแม่น้ำ. พระโพธิสัตว์จึงโดดจากหลังของจระเข้นั้นไปนั่งบนต้นมะเดื่อ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า:-
ดูก่อนจระเข้ เราสามารถยกตนขึ้นจากน้ำสู่บกได้ บัดนี้ เราจักไม่ตกอยู่ในอํานาจของท่านอีกต่อไป.
เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้าและผลขนุนทั้งหลายที่จะต้องข้ามแม่น้ำไปบริโภค ผลมะเดื่อของเราดีกว่า.
ผู้ใดไม่รู้เท่าทันเหตุการณ์อันเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้นจะต้องตกอยู่ในอํานาจของศัตรู และต้องเดือดร้อนในภายหลัง.
ส่วนผู้ใดรู้เท่าทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเคยฉับพลัน ผู้นั้นย่อมพ้นจากวงล้อมของศัตรูและไม่ต้องเดือดร้อนภายหลัง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสกฺขึ วต ความว่า ได้เป็นผู้สามารถหนอ. บทว่า อุฏาตุํ ได้แก่ เพื่อยกขึ้น. วานรเรียกจระเข้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 660
ว่า วาริชะ. บทว่า ยานิ ปารํ สมุทฺทสฺส ความว่า วานรเมื่อจะเรียกแม่น้ำคงคาโดยชื่อว่าสมุทร จึงกล่าวว่า พอกันทีด้วยผลไม้ที่เราจะต้องข้ามฝังแม่น้ำไปกิน บทว่า ปจฺฉา จ อนุตปฺปติ ความว่าบุคคลผู้ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ย่อมไปสู่อํานาจของศัตรู และย่อมต้องเดือดร้อนภายหลัง.
วานรนั้นกล่าวเหตุอันเป็นเครื่องให้สําเร็จกิจฝ่ายโลกิยะ ด้วยคาถาทั้ง ๔ ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ไปสู่ชัฏป่าทีเดียว.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า จระเข้ในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต ส่วนวานรในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวานรชาดกที่ ๒