[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 246
๑๔. เรื่องพระสุธรรมเถระ [๕๘]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 41]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 246
๑๔. เรื่องพระสุธรรมเถระ [๕๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสุธรรมเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย" เป็นต้น.
จิตตคฤหบดีถวายสวนเป็นสังฆาราม
ก็เทศนาตั้งขึ้นแล้วในมัจฉิกาสัณฑนคร จบแล้วในกรุงสาวัตถี.
ความพิสดารว่า จิตตคฤหบดี ในมัจฉิกาสัณฑนคร เห็นพระมหานามเถระภายในพวกภิกษุปัญจวัคคีย์ เที่ยวบิณฑบาตอยู่ เลื่อมใสในอิริยาบถของพระเถระแล้ว จึงรับบาตร นิมนต์ให้เข้าไปสู่เรือนให้ฉันแล้ว ในกาลเสร็จภัตกิจ สดับธรรมกถา บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว เป็นผู้มีศรัทธาไม่หวั่นไหว ใคร่เพื่อจะทำอุทยานของตนอันชื่อว่า อัมพาฏกวัน ให้เป็นสังฆาราม จึงหลั่งน้ำลงไปในมือของพระเถระ มอบถวายแล้ว ในขณะนั้น มหาปฐพี ทำน้ำที่สุด (มีน้ำรองรับข้างล่างสุด) ก็หวั่นไหวด้วยบอกเหตุว่า "พระพุทธศาสนาตั้งมั่นแล้ว".
มหาเศรษฐี ให้สร้างวิหารใหญ่ในอุทยาน ได้เป็นผู้มีประตูเปิดไว้เพื่อพวกภิกษุผู้มาจากทิศทั้งปวงแล้ว พระสุธรรมเถระ ได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในมัจฉิกาสัณฑ์.
คฤหบดีบรรลุอนาคามิผล
โดยสมัยอื่น พระอัครสาวกทั้งสอง สดับกถาพรรณนาคุณของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 247
จิตตคฤหบดีแล้ว ใคร่จะทำความสงเคราะห์แก่คฤหบดีนั้น จึงได้ไปสู่มัจฉิกาสัณฑนคร จิตตคฤหบดีทราบการมาของพระอัครสาวกทั้งสองนั้น จึงไปต้อนรับสิ้นทางประมาณกึ่งโยชน์ พาพระอัครสาวกทั้งสองนั้นมา แล้วนิมนต์ให้เข้าไปสู่วิหารของตน ทำอาคันตุกวัตรแล้ว อ้อนวอนพระธรรมเสนาบดีว่า "ท่านผู้เจริญ กระผมปรารถนาฟังธรรมกถาสักหน่อย" ครั้งนั้น พระเถระกล่าวกะเขาว่า "อุบาสก อาตมะทั้งหลาย เหน็ดเหนื่อยแล้วโดยทางไกล อนึ่ง ท่านจงฟังเพียงนิดหน่อยเถิด" ดังนี้แล้ว ก็กล่าวธรรมกถาแก่เขา คฤหบดีนั้นฟังธรรมกถาของพระเถระอยู่แล บรรลุอนาคามิผลแล้ว เขาไหว้พระอัครสาวกทั้งสองแล้วนิมนต์ว่า "ท่านผู้เจริญ พรุ่งนี้ขอท่านทั้งสองกับภิกษุพันรูป รับภิกษาที่เรือนกระผม" แล้วนิมนต์พระสุธรรมเถระเจ้าอาวาสภายหลังว่า "ท่านขอรับ พรุ่งนี้แม้ท่านก็พึงมากับพระเถระทั้งหลาย".
พระสุธรรมเถระด่าคฤหบดี
พระสุธรรมเถระนั้น โกรธว่า อุบาสกนี้ นิมนต์เราภายหลัง จึงห้ามเสีย แม้อันคฤหบดีอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ห้ามแล้วนั่นแล อุบาสกกล่าวว่า "ท่านจักปรากฏ ขอรับ" แล้วหลีกไป ในวันรุ่งขึ้นจัดแจงทานใหญ่ไว้ในที่อยู่ของตน ในเวลาใกล้รุ่งแล แม้พระสุธรรมเถระ คิดว่า คฤหบดี จัดแจงสักการะเช่นไรหนอแล เพื่อพระอัครสาวกทั้งสอง พรุ่งนี้เราจักไปดู แล้วได้ถือบาตรและจีวรไปสู่เรือนของคฤหบดีนั้นแต่เช้าตรู่ พระสุธรรมเถระนั้น แม้อันคฤหบดี กล่าวว่า "นิมนต์นั่งเถิด ขอรับ" ก็กล่าวว่า "เราไม่นั่ง จักเที่ยวบิณฑบาต" แล้วตรวจดู
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 248
สักการะอันคฤหบดีเตรียมไว้เพื่อพระอัครสาวกทั้งสอง ใคร่จะเสียดสีคฤหบดีโดยชาติ จึงกล่าวว่า "คฤหบดี สักการะของท่านล้นเหลือ ก็แต่ในสักการะนี้ ไม่มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น".
คฤหบดี. อะไร ขอรับ.
พระเถระ ตอบว่า "ขนมแดกงา คฤหบดี" (ขนมแดกงา คือขนมทำจากข้าวเหนียวคลุกด้วยงา * ได้ยินว่า ขนมแปลกชนิดหนึ่ง ได้มีในต้นวงศ์ของคหบดีนั้น เพราะเหตุนั้น พระเถระประสงค์จะด่าคหบดีนั้นกระทบชาติ จึงกล่าวอย่างนั้น.) ถูกคฤหบดีรุกรานด้วยวาจาอุปมาด้วยกา ( * คหบดีแสดงเนื้อความนี้ ด้วยอุทาหรณ์เรื่องลูกไก่ว่า ลูกไก่นั้นไม่ได้ขันอย่างกา ไม่ได้ขันอย่างไก่ฉันใด ท่านไม่ได้กล่าวคำของภิกษุ ไม่ได้กล่าวคำของคฤหัสถ์ฉันนั้น.) โกรธแล้ว กล่าวว่า "คฤหบดี นั่นอาวาสของท่าน เราจักหลีกไป" แม้อันคฤหบดีห้ามถึง ๓ ครั้ง ก็หลีกไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลคำที่จิตตคฤหบดีและตนกล่าวแล้ว.
พระสุธรรมเถระถูกสงฆ์ลงปฏิสารณียกรรม
พระศาสดา ตรัสว่า "อุบาสกเป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใส อันเธอด่าด้วยคำเลว" ดังนี้แล้ว ทรงปรับโทษแก่พระสุธรรมเถระนั้นนั่นแล แล้วรับสั่งให้สงฆ์ลงปฏิสารณียกรรม (๑) แล้วส่งไปว่า "เธอจงไป ให้จิตตคฤหบดีอดโทษเสีย" พระเถระไปในที่นั้นแล้ว แม้กล่าวว่า "คฤหบดี นั่นโทษของอาตมะเท่านั้น ท่านจงอดโทษแก่อาตมะเถิด" อันคฤหบดีนั้น ห้ามว่า "ผมไม่อดโทษ" เป็นผู้เก้อ ไม่อาจให้คฤหบดีนั้นอดโทษได้ จึงกลับมาสู่สำนักพระศาสดาอีกเทียว พระศาสดา แม้ทรงทราบว่า อุบาสกจักไม่อดโทษแก่พระสุธรรมนั้น ทรงดำริว่า ภิกษุนี้ กระด้างเพราะมานะ จงไปสู่ทาง ๓ โยชน์แล้วกลับมา จึงไม่ทรงบอกอุบายให้อดโทษเลย ทรงส่งไปแล้ว.
(๑) กรรมอันให้ระลึกถึงความผิด.
( * ) ที่มา เว็บไซด์ 84000.org/tipitaka ในอรรถกถา จุลวรรค ภาค ๑ กัมมขันธกะ ปฏิสารณียกรรมที่ ๔ เรื่องพระสุธรรมเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 249
สมณะไม่ควรทำมานะและริษยา
ครั้นในกาลที่พระสุธรรมเถระนั้นกลับมา พระศาสดา ประทานภิกษุผู้อนุทูตแก่เธอผู้นำมานะออกแล้ว ตรัสว่า "เธอจงไปเถิด ไปกับภิกษุนี้ จงให้อุบาสกอดโทษ" ดังนี้แล้ว ตรัสว่า "ธรรมดาสมณะ ไม่ควรทำมานะหรือริษยาว่า วิหารของเรา ที่อยู่ของเรา อุบาสกของเรา อุบาสิกาของเรา เพราะเมื่อสมณะทำอย่างนั้น เหล่ากิเลส มีริษยาและมานะเป็นต้น ย่อมเจริญ" เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า.
๑๔. อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย ปุเรกฺขารญฺจ ภิกฺขุสุ อาวาเสสุ จ อิสฺสริยํ ปูชา ปรกุเลสุ จ มเมว กตมญฺนฺตุ คิหี ปพฺพชิตา อุโภ มเมว อติวสา อสฺสุ กิจฺจากิจฺเจสุ กิสฺมิจิ อิติ พาลสฺส สงฺกปฺโป อิสฺสา มาโน จ วฑฺฒติ.
"ภิกษุผู้พาล พึงปรารถนาความยกย่องอันไม่มีอยู่ ความแวดล้อมในภิกษุทั้งหลาย ความเป็นใหญ่ในอาวาส และการบูชาในตระกูลแห่งชนอื่น ความดำริ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้พาลว่า คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสอง จงสำคัญกรรม อันเขาทำเสร็จแล้วเพราะอาศัยเราผู้เดียว จงเป็นไปในอำนาจของเราเท่านั้น ในกิจน้อยใหญ่ กิจไรๆ ริษยาและมานะย่อมเจริญ (แก่เธอ) ".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 250
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺตํ ความว่า ภิกษุผู้พาล พึงปรารถนาความสรรเสริญอันไม่มีอยู่ คือภิกษุผู้พาล ไม่มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีล สดับน้อย ไม่สงัด เกียจคร้าน มีสติไม่ตั้งมั่น มีจิตไม่มั่นคง มีปัญญาทราม ไม่ใช่ขีณาสพ ย่อมปรารถนาความยกย่องอันไม่มีอยู่นี้ว่า "ไฉนหนอ ชนพึงรู้จักเราว่า ภิกษุนี้ มีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต เป็นผู้สงัด ปรารภความเพียร มีสติตั้งมั่น มีจิตมั่นคง มีปัญญา เป็นพระขีณาสพ" โดยนัยที่ท่านกล่าวไว้ใน ปาปิจฉตานิทเทส (๑) ว่า "ภิกษุ เป็นผู้ไม่มีศรัทธาเลย ย่อมปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราว่า ผู้มีศรัทธา เป็นต้น.
บทว่า ปุเรกฺขารํ คือ ซึ่งบริวาร อธิบายว่า ภิกษุผู้พาล ตั้งอยู่ในความประพฤติด้วยอำนาจความอยากอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ภิกษุในวิหารทั้งสิ้น พึงแวดล้อมเราถามปัญหาอยู่ ชื่อว่า ย่อมปรารถนาความแวดล้อมในภิกษุทั้งหลาย.
บทว่า อาวาเสสุ ได้แก่ ในอาวาสอันเป็นของสงฆ์ อธิบายว่า ภิกษุผู้พาล จัดเสนาสนะประณีตในท่ามกลางวิหารเพื่อภิกษุทั้งหลาย มีภิกษุที่เป็นเพื่อนเห็นและเพื่อนคบเป็นต้นของตัว ด้วยบอกว่า "พวกท่าน จงอยู่ในเสนาสนะนี้" ส่วนตนเกียดกันเสนาสนะที่ดี จัดเสนาสนะอันทรามและเสนาสนะอันอมนุษย์หวงแหนแล้ว ซึ่งตั้งอยู่สุดท้าย เพื่ออาคันตุกภิกษุที่เหลือทั้งหลาย ด้วยบอกว่า "พวกท่าน จงอยู่ในเสนาสนะนี้"
(๑) อภิ. วิ. ๓๕/๔๗๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 251
ชื่อว่า ย่อมปรารถนาความเป็นใหญ่ในอาวาส.
บาทพระคาถาว่า ปุชา ปรกุเลสุ จ ความว่า ภิกษุผู้พาลย่อมไม่ปรารถนาการบูชาด้วยปัจจัย ๔ ในสกุลของมารดาและบิดาเลย และของพวกญาติก็ไม่ปรารถนา (แต่) ย่อมปรารถนาในสกุลของชนเหล่าอื่นเท่านั้น อย่างนี้ว่า "ไฉนหนอ ชนเหล่านั้น พึงถวายแก่เราคนเดียว ไม่พึงถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น".
บาทพระคาถาว่า มเมว กตมญฺนฺตุ ความว่า ก็ความดำริย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้พาลใดว่า พวกคฤหัสถ์และบรรพชิต แม้ทั้งสอง จงสำคัญกิจอันตนทำแล้ว คือที่สำเร็จแล้วเพราะอาศัยเราเท่านั้น ด้วยความประสงค์อย่างนี้ว่า "นวกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาทำแล้วในวิหาร ด้วยสามารถการกระทำนวกรรมมีโรงอุโบสถเป็นต้น นวกรรมนั้นทั้งหมด อันพระเถระของพวกเราทำแล้ว".
บาทพระคาถาว่า มเมว อติวสา อสฺสุ ความว่า ความดำริย่อมเกิดขึ้น (แก่ภิกษุผู้พาลนั้น) ว่า คฤหัสถ์และบรรพชิตแม้ทั้งหมด จงเป็นไปในอำนาจของเราแต่ผู้เดียว คือพาหนะและเครื่องอุปกรณ์ทั้งหลาย เป็นต้นว่า เกวียน โค พร้า ขวาน หรือโดยที่สุดกิจทั้งหลาย เป็นต้นว่า อุ่นแม้เพียงข้าวยาคูแล้วดื่ม อันคฤหัสถ์และบรรพชิตจะพึงได้ก็ตามเถิด แต่บรรดากิจน้อยและกิจใหญ่ คือบรรดากรณียกิจทั้งน้อย ทั้งใหญ่ เห็นปานนี้ คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย จงเป็นไปในอำนาจของเราเท่านั้น ในกิจไรๆ คือแม้ในกิจอย่างหนึ่ง อธิบายว่า จงถามเราเท่านั้นแล้วจึงกระทำ.
สองบทว่า อิติ พาลสฺส ความว่า ความอยากนั้น และ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 252
ความดำริเห็นปานนี้ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้พาลใด วิปัสสนา มรรคและผล ย่อมไม่เจริญทีเดียวแก่ภิกษุผู้พาลนั้น แต่ตัณหาซึ่งบังเกิดขึ้นในทวาร ๖ และมานะ ๙ อย่าง (๑) ย่อมเจริญแก่ภิกษุผู้พาลนั้นอย่างเดียว เหมือนน้ำเจริญแก่ทะเลในเวลาพระจันทร์ขึ้นฉะนั้น (๒).
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
พระสุธรรมเถระบรรลุพระอรหัต
แม้พระสุธรรมเถระ ฟังพระโอวาทนี้แล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำประทักษิณแล้ว ไปกับภิกษุผู้เป็นอนุทูตนั้น กระทำคืนอาบัติในคลองจักษุของอุบาสก ยังอุบาสกให้อดโทษแล้ว พระสุธรรมเถระนั้น อันอุบาสกให้อดโทษด้วยคำว่า "กระผมอดโทษ ขอรับ ถ้าโทษของกระผมมี ขอท่านอดโทษแก่กระผม" ตั้งอยู่ในพระโอวาท ที่พระศาสดาประทานแล้ว โดย ๒ - ๓ วันเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้ว.
จิตตคฤหบดีไปเฝ้าพระศาสดา
ฝ่ายอุบาสก คิดว่า เรายังไม่ได้เฝ้าพระศาสดาเลย เมื่อบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ยังไม่ได้เฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน เมื่อดำรงอยู่ในอนาคามิผล
(๑) มานะ ๙ อย่าง ดูพิสดารในธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๒.
(๒) นี้แปลตามฉบับสีหลและยุโรป แต่ฉบับของเราที่ใช่อยู่ เวลาแปลเติม นิสฺสาย เข้ามา แปลว่า ตัณหาอันจะอาศัยฉันทะเป็นต้น เกิดขึ้นในทวาร ๖ และมานะ ๙ อย่างย่อมเจริญแก่ ฯลฯ. สี. ยุ. ฉนฺทาทโย เป็น จนฺโททเย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 253
เราควรเฝ้าพระศาสดาโดยแท้ คฤหบดีนั้น ให้เทียมเกวียน ๕๐๐ เล่ม เต็มด้วยวัตถุมีงา ข้าวสาร เนยใส น้ำอ้อย และผ้านุ่งห่มเป็นต้นแล้ว ให้บอกแก่หมู่ภิกษุว่า "พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายใด ประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนั้นจงไป จักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตเป็นต้น" ดังนี้แล้ว ก็ให้แจ้งทั้งแก่หมู่ภิกษุณี ทั้งแก่พวกอุบาสก ทั้งแก่พวกอุบาสิกา ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ภิกษุณีประมาณ ๕๐๐ รูป อุบาสกประมาน ๕๐๐ อุบาสิกาประมาณ ๕๐๐ ออกไปกับคฤหบดีนั้น เขาตระเตรียมแล้วโดยประการที่จะไม่มีความบกพร่องสักน้อยหนึ่ง ด้วยข้าว ยาคูและภัตเป็นต้น ในหนทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อชนสามพันคน คือเพื่อภิกษุเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแล และเพื่อบริษัทของตน ฝ่ายพวกเทวดา ทราบความที่อุบาสกนั้นออกไปแล้ว ปลูกค่ายที่พักไว้ทุกๆ โยชน์ บำรุงมหาชนอันด้วยอาหารวัตถุ มีข้าวยาคู ของควรเคี้ยว ภัตและน้ำดื่มเป็นต้น อันเป็นทิพย์ ความบกพร่องด้วยวัตถุอะไรๆ มิได้มีแล้วแก่ใครๆ มหาชนอันเทวดาทั้งหลายบำรุงอยู่อย่างนั้น เดินทางได้วันละโยชน์ๆ โดยเดือนหนึ่งก็ถึงกรุงสาวัตถี เกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม ยังเต็มบริบูรณ์เช่นเดิมนั้นแหละ คฤหบดี ได้สละบรรณาการ อันพวกเทวดานั้นแลและมนุษย์ทั้งหลายนำมา ไปแล้ว.
พระศาสดาทรงแสดงปาฏิหาริย์
พระศาสดา ตรัสกะพระอานนท์เถระว่า "อานนท์ ในเวลาบ่าย วันนี้ จิตตคฤหบดี อันอุบาสก ๕๐๐ ห้อมล้อมแล้ว จักมาไหว้เรา".
พระอานนท์. พระเจ้าข้า ก็ในกาลที่จิตตคฤหบดีนั้น ถวายบังคมพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 254
ปาฏิหาริย์ไรๆ จักมีหรือ.
พระศาสดา. จักมี อานนท์.
อานนท์. ปาฏิหาริย์อะไร พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ในกาลที่จิตตคฤหบดีนั้น มาไหว้เรา ฝนลูกเห็บ แห่งดอกไม้ทิพย์ มีสี ๕ สี จักตกโดยถ่องแถวประมาณเพียงเข่าในประเทศประมาณ ๘ กรีส โดยวิธีนับอย่างของหลวง.
ชาวเมือง ฟังข่าวนั้นแล้ว คิดว่า ได้ยินว่า จิตตคฤหบดีผู้มีบุญมากอย่างนั้น จักมาถวายบังคมพระศาสดาวันนี้ เขาว่าปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ จักมี แม้พวกเรา จักได้เห็นผู้มีบุญมากนั้น ดังนี้แล้วได้ถือเอาเครื่องบรรณาการไปยืนอยู่สองข้างทาง ในกาลที่จิตตคฤหบดีมาใกล้วิหาร ภิกษุ ๕๐๐ รูปมาถึงก่อน จิตตคฤหบดี กล่าวกะพวกอุบาสิกาว่า "แม่ทั้งหลาย พวกท่านจงมาข้างหลัง" แล้ว ส่วนตนอันอุบาสก ๕๐๐ แวดล้อมแล้ว ได้ไปสู่สำนักของพระศาสดา ก็ชนทั้งหลาย ผู้ยืนก็ดี นั่งก็ดี ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้มีข้างนี้หรือข้างโน้น ย่อมยืนอยู่แน่นขนัดเทียวในสองข้างแห่งพุทธวิถี จิตตคฤหบดี ก้าวลงสู่พุทธวิถีใหญ่แล้ว ที่อันพระอริยสาวกผู้บรรลุผล ๓ แลดูๆ หวั่นไหวแล้ว มหาชนแลดูแล้ว ด้วยคิดว่า เขาว่า คนนั่นคือ จิตตคฤหบดี คฤหบดีนั้นเข้าเฝ้าพระศาสดา เข้าไปภายในพระพุทธรัศมี มีพรรณะ ๖ จับพระบาทพระศาสดาที่ข้อพระบาททั้งสองถวายบังคมแล้ว ในขณะนั้นเอง ฝนดอกไม้มีประการดังกล่าวมา ตกแล้ว สาธุการพันหนึ่งเป็นไปแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 255
จิตตคฤหบดีถวายทาน
คฤหบดีนั้น อยู่ในสำนักพระศาสดาสิ้นเดือนหนึ่งแล ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานทั้งสิ้น ให้นั่งในวิหารนั่นแหละ ถวายทานใหญ่แล้ว ทำภิกษุแม้ผู้มากับตนไว้ภายในวิหารนั้นแหละบำรุงแล้ว ไม่ต้องหยิบอะไรๆ ในเกวียนของตน แม้สักวันหนึ่ง ได้ทำกิจทุกอย่างด้วยบรรณาการอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนำมาเท่านั้น จิตตคฤหบดีนั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์มาด้วยตั้งใจว่า จักถวายทานแด่พระองค์ ได้พักอยู่ในระหว่างทางเดือนหนึ่ง เดือนหนึ่งของข้าพระองค์ล่วงไปแล้ว ในที่นี้ ข้าพระองค์ไม่ได้เพื่อจะถือเอาของอะไรๆ ที่ข้าพระองค์นำมาเลย ได้ถวายทานสิ้นกาลเท่านี้ ด้วยบรรณาการที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนำมาเท่านั้น แม้ถ้าข้าพระองค์นั้น จักอยู่ในที่นี้ สิ้นปีหนึ่ง ก็จักไม่ได้เพื่อจะถวายไทยธรรมของข้าพระองค์แน่แท้ ข้าพระองค์ปรารถนาจักถ่ายเกวียนแล้วไป ขอพระองค์ จงโปรดให้บอกที่สำหรับเก็บแก่ข้าพระองค์เถิด".
พระศาสดา ตรัสกะพระอานนทเถระว่า "อานนท์ เธอจงให้จัดที่แห่งหนึ่งให้ว่าง ให้แก่อุบาสก" พระเถระได้กระทำอย่างนั้นแล้ว ได้ยินว่า พระศาสดาทรงอนุญาตกัปปิยภูมิแก่จิตตคฤหบดีแล้ว.
จิตตคฤหบดีเดินทางกลับ
ฝ่ายอุบาสกกับชนสามพันซึ่งมาพร้อมกับตน เดินทางกลับด้วยเกวียนเปล่าแล้ว พวกเทวดาและมนุษย์ ลุกขึ้นแล้ว กล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 256
"พระผู้เป็นเจ้า ท่านทำกรรม คือการเดินไปด้วยเกวียนเปล่า" ดังนี้แล้ว ก็บรรจุเกวียนให้เต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ คฤหบดีนั้น ได้บำรุงมหาชนด้วยบรรณาการอันเขานำมาเพื่อตน ไปแล้ว.
พระอานนทเถระ ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า จิตตคฤหบดี แม้เมื่อมาสู่สำนักของพระองค์ มาแล้วโดยเดือนหนึ่ง อยู่ในที่นี้เดือนหนึ่งเหมือนกัน ได้ถวายทานด้วยบรรณาการที่เทวดาและมนุษย์นำมาเท่านั้น สิ้นกาลเท่านี้ ได้ยินว่า บัดนี้คฤหบดีนั้น ทำเกวียน ๕๐๐ เล่ม ให้เปล่า จักไปโดยเดือนหนึ่งเหมือนกัน ก็เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ลุกขึ้นแล้ว กล่าวแก่คฤหบดีนั้นว่า "พระผู้เป็นเจ้า ท่านทำกรรม คือการเดินไปด้วยเกวียนเปล่า" ดังนี้แล้ว ก็บรรจุเกวียนให้เต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ ได้ยินว่า คฤหบดี บำรุงมหาชนด้วยเครื่องบรรณาการอันเทวดาและมนุษย์นำมาเพื่อตนนั่นแหละ จักกลับไป พระเจ้าข้า ก็สักการะนี้เกิดขึ้นแก่คฤหบดีนั่น ผู้มาสู่สำนักของพระองค์เท่านั้นหรือ หรือแม้ไปในที่อื่นก็เกิดขึ้นเหมือนกัน".
พระศาสดา ตรัสว่า "อานนท์ จิตตคฤหบดีนั้นมาสู่สำนักของเรา ก็ดี ไป ณ ที่อื่นก็ดี สักการะย่อมเกิดขึ้นทั้งนั้น เพราะอุบาสกนี้เป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใส มีศีลสมบูรณ์ อุบาสกผู้เห็นปานนี้ ย่อมคบ (ไป) ประเทศใดๆ ลาภสักการะ ย่อมเกิดแก่เขาในประเทศนั้นๆ ทีเดียว" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถาในปกิณณกวรรคนี้ว่า.
"ผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล เพียบพร้อมด้วยยศและโภคะ ย่อมคบประเทศใดๆ ย่อมเป็นผู้อันเขาบูชาแล้ว ในประเทศนั้นๆ ทีเดียว".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 257
ก็เนื้อความแห่งพระคาถานั้น จักแจ่มแจ้งในปกิณณกวรรคนั้นแล.
บุรพกรรมของจิตตคฤหบดี
เมื่อพระคาสดา ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระอานนทเถระ จึงทูลถาม บุรพกรรมของจิตตคฤหบดี ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะตรัสแก่พระอานนทเถระนั้น จึงตรัสว่า.
"อานนท์ จิตตคฤหบดีนี้ มีอภินิหารอันทำไว้แทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ สิ้นแสนกัลป์ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสป เกิดในสกุลของพรานเนื้อ ถึงความเจริญแล้ว วันหนึ่ง เมื่อฝนตกอยู่ถือหอกไปสู่ป่า เพื่อต้องการจะล่าเนื้อ ตรวจดูหมู่เนื้ออยู่ เห็นภิกษุรูปหนึ่งนั่งคลุมศีรษะ ที่เงื้อมเกิดเอง (๑) แห่งหนึ่ง จึงคิดว่า พระผู้เป็นเจ้ารูปเดียว จักนั่งทำสมณธรรม เราจักนำอาหารมา เพื่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ดังนี้แล้ว รีบไปสู่เรือน ให้คนปิ้งเนื้อที่ตนนำมาเมื่อวานที่เตาแห่งหนึ่ง ให้หุงข้าวที่เตาแห่งหนึ่ง เห็นภิกษุเที่ยวบิณฑบาตพวกอื่น รับบาตรของภิกษุแม้เหล่านั้น นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะที่จัดแจงไว้ ตระเตรียมภิกษาแล้ว สั่งคนอื่นว่า "พวกท่านจงอังคาสพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย แล้วใส่ภัตนั้นลงในตะกร้า ถือเดินไป เลือกเก็บดอกไม้ต่างๆ ในระหว่างทาง ห่อด้วยใบไม้ ไปสู่ที่พระเถระนั่งแล้วกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงทำความสงเคราะห์ แก่กระผมเถิด" ดังนี้แล้ว รับบาตร ให้เต็มด้วยภัตแล้ววางไว้ในมือของพระเถระ กระทำการบูชาด้วยดอกไม้เหล่านั้น ตั้งความปรารถนาว่า
(๑) อกตปพฺภาร เงื้อมที่บุคคลไม่ได้ทำ หมายความว่า เกิดเป็นเองตามธรรมชาติ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 258
"บิณฑบาตอันมีรสนี้ พร้อมด้วยดอกไม้เครื่องบูชา ยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดีฉันใด ขอบรรณาการพันหนึ่ง จงมายังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดีในที่ที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วๆ ฉันนั้น และขอฝนดอกไม้มีสี ๕ สีจงตก" เขาบำเพ็ญกุศลจนตลอดชีพแล้ว เกิดในเทวโลก ฝนดอกไม้ทิพย์ตกแล้ว โดยถ่องแถวประมาณเพียงเข่า ในที่ที่เขาเกิดแล้ว แม้ในกาลนี้ ฝนดอกไม้ (ทิพย์) ก็ตกในวันที่เขาเกิดแล้ว และเมื่อเขามาในที่นี้ การนำบรรณาการมา และการที่เกวียนเต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ ก็เป็นผลแห่งกรรมนั้นแล".
เรื่องพระสุธรรมเถระ จบ.