ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ท่านพระภิกษุ ถ้าเห็นสักแต่ว่าสี...จะละกิเลสอะไรได้
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นจริงๆ อย่างนั้น หมายความว่ารู้ความจริงว่าสี เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏได้ทางตาเท่านั้น ไม่ใช่ทางอื่น และไม่ใช่คน สัตว์ ฯลฯ แต่เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อปรากฏ กระทบแล้วและการที่เห็นซ้ำบ่อยๆ ก็ทำให้มีการทรงจำรูปร่างสัณฐาน ของสิ่งที่ปรากฏแล้วยึดมั่นว่าเป็นสัตว์ บุคคล เพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น
ท่านพระภิกษุ เพียงสีบางสี เราก็เกิดความพอใจแล้ว อย่างเสื้อผ้า เป็นสีจริงๆ เพียงแต่ผ้า ยังไม่ได้ตัดเป็นตัวเลย เราก็พอใจเสียแล้ว เพราะฉะนั้น การเห็นสี ละกิเลสอะไรได้
ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ ไม่ใช่เพียงเห็น แต่รู้ความจริง เพราะสติระลึกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่นามธรรม มีจริงๆ ปรากฏจริงๆ ชั่วขณะที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คน สัตว์ เสื้อ ฯลฯ นั่นคือ วาระของจักขุทวารวิถีจิต คือ มีเฉพาะสีเท่านั้นที่ปรากฏ และอย่างที่พระคุณเจ้ากล่าวว่า แม้เพียงสี ก็ชวนให้จิตเกิดโลภะ โทสะได้ ก็เพราะการสะสมมา เมื่อถึง "วาระจิตที่จะเกิดโลภะ" ก็เกิดโลภมูลจิตเมื่อถึงวาระที่จะไม่พอใจ ก็เกิดโทสมูลจิต
ฉะนั้น เวลาที่ปัญญาเกิดปัญญาสามารถที่จะระลึก "ลักษณะของโลภะ" เมื่อเห็นสีปัญญาสามารถที่จะระลึก "ลักษณะของโทสะ" เมื่อเห็นสีได้ เพราะอะไร เพราะเป็นสิ่งที่จริง สิ่งที่มีจริง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้
ไม่ใช่ไปนั่งคิดคำนวณมา ๙ ปี ๑๐ ปี แล้วมาบอกว่า "ไม่ใช่ตัวตน" แต่การที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ทำให้สามารถที่จะมีโพธิปักขิยธรรมรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏตามความเป็นจริง
ทรงตรัสรู้อย่างไร ก็ทรงแสดงอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างผู้ที่ไม่ตรัสรู้นี้เป็นความต่างกันในความหมายของคำว่า "ตรัสรู้" กับ "การคิดเอง"
"ผู้ที่ตรัสรู้" ไม่ใช่คิด แล้วสอนแต่เมื่อตรัสรู้ คือ ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงทรงสอนอย่างนั้น
สนทนาธรรมที่วัดสิงห์วรวิหาร อ.เมือง จ. เชียงใหม่ โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พ.ศ. ๒๕๔๔
ขออนุโมทนา
สาธุ
สาธุ
"ผู้ที่ตรัสรู้" ไม่ใช่คิด แล้วสอนแต่เมื่อตรัสรู้ คือ ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงทรงสอนอย่างนั้น
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ