ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๑ บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถ้าลักษณะนั้นเป็นลักษณะที่ประกอบด้วยความปิติ หรือ ความโสมนัสเป็นโลภมูลจิต ที่เป็นไปกับโสมนัส บาลี ใช้คำว่า "โสมนัสฺสสหคตํ"เพราะฉะนั้นเวลาที่สติจะเกิดขึ้น ก็เกิดในขณะที่สิ่งนั้นๆ กำลังเป็นไปตามปกติในชีวิตประจำวันแล้ว สติ ก็เริ่มระลึกรู้ ลักษณะของสภาพจิต นั้นว่าเป็น สราคจิต ในปริยัติ ได้ทรงแสดง "โลภมูลจิต ๘ ดวง" ดวงที่ ๑ คือ โสมนัสฺสสหตตํ ทิฏฐิคตสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ ซึ่งหมายความว่า เป็นสภาพจิต ที่มีความยินดี ความต้องการ เกิดพร้อมกับ โสมนัสเวทนาเป็นไปกับ ความเห็นผิด และเป็นลักษณะของ โลภมูลจิตที่มีกำลัง ด้วย.หมายความว่า ได้เหตุปัจจัย ที่จะแก่กล้าขึ้นได้ ตามลำพังตนเองเกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการชักชวนใดๆ ทั้งสิ้น
โลภทิฏฐิสัมปยุต มี ๔ คือ เป็น โสมนัส เวทนา ๒ เป็น อุเบกขา เวทนา ๒ โสมนัสเวทนา ๒ คือเป็น อสังขาริก คือ มีกำลังอย่างแรงกล้าด้วยตนเอง ๑ เป็นสสังขาริก คือมีกำลังโดยต้องอาศัยการชักจูง ๑
ส่วน อุเบกขาเวทนา เมื่อเกิดพร้อมกับ ความเห็นผิดก็มีกำลังกล้า ๑ และต้องอาศัยการชักจูง ๑ โดยนัยเดียวกัน
ทิฏฐิเจตสิก คือความเห็นผิดในสภาพธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกนั้น มีมากแต่ยังมีความเห็นผิด แม้ในผู้ที่ได้ศึกษาปริยัติแล้ว
เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่า ผู้ที่ศึกษาปริยัติมีความเข้าใจในเรื่องของปรมัตถธรรมเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพานแล้วผู้ที่ศึกษานั้น จะไม่มีสักกายทิฏฐิหรือว่าไม่มีความเห็นผิดได้ไหม ไม่ได้เพราะนั่นเป็น เรื่องของความเข้าใจ ในขณะที่เรียน แต่เวลาที่กำลังเห็น ขณะนี้เป็นอย่างที่เรียนไหม เวลาเรียนว่า จักขุวิญญาณ ไม่ใช่ตัวตนแต่เป็นเพียงสภาพที่เห็นสี จักขุวิญญาณเห็นรูปารมณ์ รูปารมณ์ หมายถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาโดยการศึกษา เป็นแต่จิตปรมัตถ์เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ แต่เวลาเห็นจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่ศึกษา! เห็นเป็นตัวตน เห็นเป็นสัตว์บุคคล เห็นเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ถ้าบอกคำว่า "โต๊ะ" กับผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานเลย ผู้นั้นจะไม่สามารถที่จะแยก "รูป" ที่ประชุมรวมกัน ให้กระจัดกระจายออกได้ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ คน สัตว์ หรืออื่นๆ ถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นแต่เพียง "รูป" สีสรร วรรณะ ต่างๆ เป็นสิ่งที่ปรากฏได้เฉพาะ"ทางตา" เท่านั้น ผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ยังคง"เห็น" เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ที่ควบคุม ประชุม รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่นั่นเอง.
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์
ลมหายใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะชีวิต ดำรงอยู่ได้เพียงชั่วขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ความเยื่อใยในชีวิตในทรัพย์สมบัติในรูปสมบัติ ในวิชาความรู้ต่างๆ ในฐานะ ในเกียรติยศ ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับลมหายใจแผ่วๆ ที่ละเอียดมากทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่คิดว่าใหญ่โต หรือสำคัญเหลือเกิน
แท้จริงแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับลมหายใจซึ่งเป็นสภาพที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเหลือเกินชั่วขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง เท่านั้นเมื่อปราศจากลมหายใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยยึดถือว่าเป็นของเรา ก็หมดสิ้นความยิ่งใหญ่ ความสำคัญในสิ่งใดๆ ทั้งความรัก ความชังก็เป็นเพียง ความคิดนึกในขณะที่ยังมี ลมหายใจ เท่านั้นเอง
จาก"เกิด แก่ เจ็บ ตาย" โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
แต่เวลาที่กำลังเห็น ขณะนี้เป็นอย่างที่เรียน ไหมคะ?
ขออนุโมทนาครับ
แต่เวลาที่กำลังเห็น ขณะนี้เป็นอย่างที่เรียน ไหมคะ
ขออนุโมทนาครับ
ยังไม่เป็นอย่างที่เรียนแสนยากที่จะเป็นอย่างที่เรียนแต่ของจริงก็ยังปรากฏอย่างท้าทายทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจใกล้ชิดที่สุด แต่ก็กลับมองข้ามมากที่สุดผู้ที่อบรมเจริญปัญญาเท่านั้นย่อมน้อมไปที่จะเรียน คือ ศึกษาสภาพธรรมะที่มีในขณะนี้
ขออนุโมทนาครับ...
สาธุ
ผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ยังคง"เห็น"เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ สิ่งต่างๆ ที่ควบคุม ประชุม รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่นั่นเอง โดยการศึกษา เป็นแต่จิตปรมัตถ์เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ แต่เวลาเห็นจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่ศึกษา!เห็นเป็นตัวตน เห็นเป็นสัตว์บุคคล เห็นเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ
จากการศึกษา จักขุวิญญาณเป็นเพียงสภาพที่เห็นไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่ปรากฎทางตา เป็นเพียงสี ซึ่งก็คือ รูปารมณ์ ฉะนั้น ขณะเห็นก็โน้มที่จะรู้ความจริงในลักษณะสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บ่อยๆ เนืองๆ จะเป็นเหตุปัจจัยให้สติปัฎฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรม ตรงตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้เป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เองค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ