กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน
อยากทราบว่า การที่เทวดารู้ใจผู้อื่นได้ ทราบความคิดมนุษย์ได้ ด้วยอาศัยอะไร จึงสามารถทายใจผู้อื่นได้ครับ? และอยากขอเรียนถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นการระลึกชาติเล็กน้อยครับ อยากทราบว่า การระลึกชาติได้ เมื่อเป็นโอปปาติกะกำเนิด ก็สามารถพอจะระลึกได้ในชาติก่อนที่จะไปกำเนิดในภพนั้น เพราะภพชาติติดต่อกัน ทีนี้กำเนิดอื่น ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จึงระลึกชาติไม่ได้ครับ แต่ก็เหมือนจะแล้วแต่บุคคลด้วย อย่างนางปติปูชิกา ก็ระลึกชาติได้ว่าตนเคยเป็นเทพธิดามาก่อน หรือ อย่างมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินท่านหนึ่งที่ไปเกิดเป็นหนอนโคสด ก็ระลึกได้ว่าตนเคยเป็นหญิงงามมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น แต่อย่างท่านอื่นๆ ท่านก็ระลึกไม่ได้ เลยอยากทราบว่า อะไรทำให้บางท่านระลึกได้ บางท่านระลึกไม่ได้ และมีปัจจัยอะไรอื่นๆ อีกไหม
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากคำถามที่ว่า
อยากทราบว่า การที่เทวดา รู้ใจผู้อื่นได้ ทราบความคิดมนุษย์ได้ ด้วยอาศัยอะไร จึงสามารถทายใจผู้อื่นได้ครับ?
การที่เทวดารู้จิตผู้อื่นด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ซึ่งไม่จำเป็นที่เทวดาทุกองค์จะรู้จิตของผู้อื่น ซึ่งประการแรก เทวดาใดที่เคยสะสมอบรมฌานมาในอดีตชาติ จนได้ เจโตปริยญาณ ย่อมมีอุปนิสัยที่สามารถจะรู้จิตของผู้อื่นได้ ประการที่สอง เพราะได้ยินเสียงของมนุษย์กล่าวกัน ย่อมรู้จิตได้ว่าบุคคล นั้นคิดอย่างไร เพราะเทวดาองค์นั้นเป็นผู้ฉลาด เป็นต้น ครับ
การดักใจ รู้ใจมีหลายประการ คือ
1. พูดดักใจโดยนิมิต
2. ได้ยินเสียงมนุษย์ อมนุษย์หรือเทวดา ก็รู้ใจ
3. ได้ยินเสียงวิตกวิจารของบุคคลผู้ตรึกตรอง 4. มีอภิญญาจิต
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 264
บทว่า อมนุสฺสาน ได้แก่ อมนุษย์มียักษ์และปีศาจเป็นต้น.
บทว่า เทวตาน ได้แก่ เทวดาทั้งหลาย มีเทวดาชั้นจาตุมมหาราชเป็นต้น.
บทว่า สทฺท สุตฺวา ความว่า ได้ยินเสียงของเขาผู้กำลังกล่าวอยู่จึงทำนาย เพราะรู้จิตของผู้อื่น.
ส่วนประเด็นคำถามเรื่องการระลึกชาติได้ ในภพภูมิที่ไม่ใช่เกิดโตทันที ไม่ใช่โอปปาติกะ ระลึกชาติได้อย่างไร เช่น ภพภูมิมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน
การระลึกชาติได้ของบุคคลที่เกิดโตทันที เช่น เทวดา เปรต เพราะไม่ต้องผ่านการเกิดในครรภ์ และเกิดโตทันที จึงรู้เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา แต่บางกำเนิด ก็สามารถระลึกชาติได้ เช่น นางปติปูชิกา ที่เป็นนางเทพธิดา และ จุติจากสวรรค์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังจำได้ว่า เคยเกิดเป็นเทพธิดา ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ที่เป็นไปได้ คือ เพราะ เคยสะสมการเจริญฌาน จนระลึกชาติได้ ในอดีตชาติมาก่อนๆ ทำให้มีอุปนิสัยที่สามารถระลึกชาติได้ อีกปัจจัยหนึ่ง เพราะ ความมีกำลังของการใส่ใจถึงในเมื่อคราวเป็นเทพธิดา เพราะ มีสัญญาที่มั่นคง จดจำในเรื่องราวนั้นได้ เช่น มีความสุข โสมนัส ก็ทำให้ไม่ลืมเหตุการณ์นั้น เพราะ มีความสุขโสมนัสที่มีกำลัง ครับ เช่น เกิดเป็นเทพธิดา ก็มีความสุขมาก สัญญาเจตสิก จำในอารมณ์นั้นที่มีความสุข จึงเป็นปัจจัยให้นึกขึ้นได้อีก เพราะมีความสุข ประทับใจในเรื่องนั้นและก็สิ้นชีวิตก่อนวัยอันควร ครับ
ซึ่งยกตัวอย่างเราก็ได้ครับ เหตุการณ์ใดที่เราประทับใจมากๆ ก็ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์อื่นๆ ได้ง่าย ไม่ลืม ครับ แม้ในชาติปัจจุบัน ต่างจากเหตุการณ์ธรรมดาที่ไม่ได้ประทับใจ เหตุการณ์ทั่วไป เช่น ทานข้าวเมื่อ 3 วันก่อน ตอนเที่ยงปกติ ก็นึกไม่ได้แล้วว่า เมื่อ 3 วันก่อนทานอะไร แต่ถ้าดูหนังเรื่องอะไร ชอบมากๆ ก็นึกขึ้นได้ง่ายกว่า ครับ
โดยนัยของพระมเหสีที่ตอนหลังเกิดเป็นหนอน ที่หนอนระลึกชาติได้ก็โดยนัยเดียวกันที่กล่าวมา ย่อมเป็นไปได้ในอุปนิสัยที่เคยเจริญฌานในชาติก่อนๆ และความสุขที่ได้เกิดเป็นมเหสี แต่มาสิ้นชีวิตก่อนวัยอันควร ก็จดจำเรื่องราวนั้นได้ ครับ
ดังนั้น ปัจจัยที่ระลึกได้ ระลึกไม่ได้ ก็เพราะภพภูมิประการหนึ่ง คือ เกิดเป็นตัวโตทันที ก็ย่อมระลึกชาติได้ และ ปัจจัยหนึ่ง แม้ไม่ได้เกิดในภพภูมิที่เป็นโอปปาติกะ หากมีอุปนิสัยที่เคยอบรมสมถภาวนา ระลึกชาติได้มาก่อน ก็เป็นปัจจัยระลึกได้ ถ้าไม่ได้อบรมมาก็ระลึกไม่ได้ และ ความสุขโสมนัสที่มีกำลัง ที่เคยมีในชาติที่เพิ่งจากไปที่สัญญาเจตสิกจำไว้อย่างมั่นคง ก็เป็นปัจจัยให้จำ ระลึกได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อที่ควรจะได้พิจารณาเพิ่มเติม คือ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสน กัปป เพื่อจะได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลกให้ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง พระองค์ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ผู้ฟังได้พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล สะสมเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ฟังเอง ซึ่งกิจที่ทุกคนควรทำอย่างยิ่ง คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ การรู้ใจคนอื่น ไม่สำคัญเท่ากับการรู้ใจตัวเอ ว่าสะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะกิเลสสะสมมามากเหลือเกิน เพื่อประโยชน์แก่การขัดเกลาละคลายให้เบาบางลงจนกระทั่งสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นในที่สุด
หนทางที่ถูก ที่เป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส คืออะไร นั่นก็คือ การอบรมเจริญปัญญา ส่วนการจะดำเนินตามทางดังกล่าวหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ ถ้าเป็นผู้ดำเนินตามทางดังกล่าว ผลก็คือสามารถไปถึงการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด แต่ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม ถึงแม้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงหนทางที่ถูกต้องแล้ว แต่บุคคล นั้นไม่ดำเนินตามทางดังกล่าว ก็ย่อมเป็นผู้ไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถออกไปจากวัฏฏะ ไม่สามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เลย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
คนเราอยู่ด้วยกันนานๆ ก็รู้นิสัย เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และ เพื่อนสนิท ก็พอจะรู้ใจได้บ้าง ยกเว้นคนที่ไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ เทวดาก็เหนือมนุษย์ ก็ย่อมรู้ใจมนุษย์ได้มากกว่าคนทั่วไป ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนากุศลจิตของอาจารย์ทั้ง 2 ท่านครับ ที่ช่วยทำให้ผมหายสงสัย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพื่อพิจารณาเพิ่มเติมครับ อีกมุมหนึ่ง ตัวอย่างน้องหมา น้องแมว ที่เราเลี้ยงไว้ ด้วยที่คนละเผ่าพันธซึ่งเราเป็นคน และ เค้าเป็นสัตว์ เมื่อเค้าแสดงอาการอย่างนี้อย่างนี้ เราก็พอจะรู้ได้ว่า เป็นการขออาหาร แสดงท่าทางอย่างนั้นอย่างนั้น เป็นการบอกถึงความดีใจ หรือ เมื่อเค้านอนหลับตา ซึ่งบางคนคิดว่าเค้าหลับ แต่เมื่อมีความคุ้นเคยกัน เราก็จะรู้ว่าเค้าไม่ได้หลับจริงๆ โดยที่หูคอยฟังเสียงต่างๆ อยู่ ก็พอจะพิจารณาได้ว่า ภพภูมิที่เหนือเรา ก็สามารถที่จะรู้ใจเราได้ เป็นต้น ทั้งนี้เป็นการสะสมที่จะให้มีเหตุนั้น เหตุนี้ ได้
อนุโมทนาในกุศลที่ทุกท่านได้เจริญแล้วครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ