Thai-Hindi 29 October 2022
- นี้เป็นความละเอียดที่ต้องเห็นความลึกซึ้งของธรรม เพราะฉะนั้นการที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องรู้ว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- ถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรม การศึกษาธรรมไม่มีประโยชน์เลยเพราะไม่รู้จักธรรมแน่นอน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเริ่มจากการรู้ว่า เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- ต้องเริ่มฟัง ไตร่ตรองในความลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงฟังแล้วคิดว่า เข้าใจแล้วจำได้
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับทุกคนที่เห็นประโยชน์และก็มีการรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือ ได้เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้
- คำที่ควรฟังที่สุดเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสและทรงแสดงความจริงของธรรมเพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงที่สุด ธรรมลึกซึ้ง สมควรรู้หรือไม่สมควรรู้
- เพราะฉะนั้นขอถามทุกคนก่อนที่จะเริ่มฟังพระธรรมว่า เมื่อธรรมลึกซึ้งอย่างนี้คิดว่าจะฟังและจะถึงความเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมเป็นสิ่งที่สมควรไหม
- เพราะฉะนั้นนี่เป็นสัจจบารมี ต้องมั่นคงที่จะรู้ความลึกซึ้งของธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
- เริ่มต้นเหมือนคนไม่เคยฟังธรรมมาก่อนแล้วมีคำถามว่า ธรรมคืออะไร
- เพราะฉะนั้นเริ่มจากคำนี้ ธรรมคืออะไร ตอบเลยค่ะ (คือสิ่งที่มีจริงตอนนี้)
- ถ้าไม่เคยฟังเลยจะไม่รู้เลยว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริงตอนนี้ เดี๋ยวนี้แหละลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- ลึกซึ้งอย่างไร (ก่อนฟังคิดว่าเราเห็น เรารู้ เราคิด ดูเหมือนทุกอย่างเกิดพร้อมกัน แต่ฟังแล้วไม่ใช่อย่างนั้น แต่ยังเหมือนเกิดพร้อมกันเหมือนเดิม)
- เพราะฉะนั้นฟังแล้วต้องพิจารณาแม้แต่คำว่า นิสัย สิ่งนั้นเกิดบ่อยๆ จนมีกำลังที่จะต้องเป็นอย่างนั้น
- เพราะฉะนั้นธรรมลึกซึ้งเพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ
- ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เองแต่ใกล้ที่สุดยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นลึกซึ้งแค่ไหน
- เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้ ใกล้ที่สุดคือเห็น
- เห็นทั้งวัน เห็นตลอดทุกวันในชีวิตแต่ใกล้ที่สุดก็ยังไม่รู้ความจริงของเห็น นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรม
- คำว่า ธรรม ลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้ง) คำว่าธรรมลึกซึ้งเพราะยังไม่รู้ความหมายของความจริงของคำนั้น แต่ตัวธรรมจริงๆ จะลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นเท่าไหร่
- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ จะไม่มีใครรู้ความลึกซึ้งของธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้เลย
- เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจึงสามารถที่จะเข้าถึงสิ่ง ภาวะที่เป็นธรรม ไม่ใช่เป็นแต่เพียงชื่อที่ลึกซึ้ง
- ศึกษาธรรม มีคำที่อธิบายถึงธรรม เห็นความลึกซึ้งของธรรม แต่ตัวธรรมที่ลึกซึ้งยังไม่รู้จัก
- เพียงคำว่า เห็นมีจริง ฟังธรรมที่ลึกซึ้ง เข้าใจความลึกซึ้งรึยัง (ยัง)
- ถูกต้อง ดีมากที่ต้องเป็นผู้ที่ต้องละความไม่รู้และความคิดว่า ธรรมไม่ยาก ไม่ลึกซึ้ง
- เพราะฉะนั้นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ฟังแล้วต้องค่อยๆ เข้าใจว่ากำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
- ตัวอย่างธรรมเดี๋ยวนี้ มีธรรมที่เกิดขึ้นเห็น ความจริงของขณะนี้ ไม่มีเรา ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากเห็นเกิดขึ้นและกำลังเห็น
- ต้องมั่นคงในทีละคำ เห็นเกิดขึ้น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่จำ แต่เห็นเกิดขึ้นเห็น
- เปลี่ยนไม่ได้เลย ความจริง เห็นไม่ใช่นกเห็น ไม่ใช่คนเห็น ไม่ใช่เทวดาเห็น ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็น จริงไหม
- อย่าลืมทุกคำ เห็นเป็นเห็นเปลี่ยนไม่ได้ เป็นอื่นไม่ได้เพราะเห็นเป็นเห็นเท่านั้น
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ใดๆ ทั้งสิ้น
- เริ่มมั่นคงรึยังว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่นก ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ใครทั้งหมด
- ปัญญาที่ไม่ใช่ตรัสรู้ความจริงที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่สามารถที่จะละนิสสัยอุปะ (ที่มีกำลัง) อุปนิสสัยที่สะสมมาที่จะเข้าใจผิดคิดว่า เห็นเป็นเรา
- กำลังเห็นเป็นเราเห็น ถูกหรือผิด (ผิด) เริ่มตรงที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของเห็นยิ่งขึ้น
- เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นเดี๋ยวนี้เป็นเรารึเปล่า (ไม่) ฟังได้เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราแต่ยังเป็นเราจริงๆ ที่เห็นใช่ไหม
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทุกอย่างทั้งหมดทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่เป็นคำตอบว่า กำลังเห็นแต่เพียงจำและฟังว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่ทั้งๆ ที่ได้ยินเดี๋ยวนี้เห็นก็ยังคงเป็นเราเห็น เพราะฉะนั้นมีความเห็นผิด เข้าใจว่าเห็นเป็นเราใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นความเห็นผิดมีจริงๆ เป็นคุณอาช่ารึเปล่า (ไม่) แสดงว่ามีความเห็นผิดจริงๆ เป็นธรรมไม่ใช่คุณอาช่า
- เริ่มเข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา เห็นต้องเป็นเห็น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นความเห็นถูกหรือความเห็นผิด
- เพราะฉะนั้นความเห็นถูกมีจริง ไม่ใช่คุณอาช่าแต่เป็นธรรมที่เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง
- ความเห็นถูกเป็นอย่างหนึ่ง ความเห็นผิดเป็นอย่างหนึ่ง เป็นธรรมทั้งสองอย่างแต่ว่าไม่ใช่ธรรมอย่างเดียวกัน
- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งต่างกัน
- วันหนึ่งๆ คิดอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ มากหรือน้อยหรือไม่มีเลย (มีบ้าง) มีบ้างน้อยหรือมาก (คิดถึงมากขึ้นแต่ความไม่รู้เยอะกว่า)
- ความไม่รู้เยอะกว่า ความไม่รู้เป็นความเห็นผิดรึเปล่า (คนละอย่างกัน) ดีมากที่เริ่มเข้าใจความละเอียด
- ความไม่รู้เป็นความไม่รู้ ไม่ใช่ความเห็นผิดหรือความเห็นถูก แต่เวลาที่เข้าใจถูกไม่ใช่ความเข้าใจผิดก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่มีทุกวันเริ่มปรากฏให้เข้าใจเมื่อได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าว่า เป็นอะไรบ้างที่ไม่ใช่เราสักอย่างเดียว
- เห็นเดี๋ยวนี้กับเห็นเมื่อกี้นี้เป็นเห็นเดียวกันรึเปล่า (ไม่) นี่เป็นความลึกซึ้ง
- ความลึกซึ้งของธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้รู้ความลึกซึ้งของธรรมที่เกิดแล้วดับไปจึงไม่ใช่อันเดียวกัน
- เดี๋ยวนี้คุณอาช่าเห็นอะไร (กำลังเห็นอยู่) ถามว่าเห็นเดี๋ยวนี้กับเห็นเมื่อกี้นี้เป็นเห็นเดียวกันรึเปล่า (ไม่ใช่) ลึกซึ้งไหมเพราะเห็นก่อนต้องดับแล้วเห็นเดี๋ยวนี้เกิดได้เร็วสุดที่จะประมาณได้ เห็นความลึกซึ้งของพระธรรมเพิ่มขึ้นนะคะ
- (ทำอย่างไรถึงจะให้คิดถูก) ทำหรือเข้าใจ
- (อยากฟังเข้าใจและหาวิธี) วิธีคืออะไรที่จะเข้าใจ
- เพราะฉะนั้นความไม่รู้ทำให้เขาทำสิ่งที่ไม่รู้ใช่ไหม (ยังไม่คิดจะทำแต่อยากจะฟังให้เข้าใจเพิ่มจะได้รู้ว่ามีวิธีอะไร) นั่นคือวิธี วิธีเดียวคือฟังแล้วเข้าใจ
- ไม่ใช่สำหรับทำแต่เพื่อเข้าใจ และความเข้าใจก็ทำหน้าที่ที่จะไม่เข้าใจผิด ไม่เห็นผิด
- ถ้าไม่มีความเข้าใจ อะไรจะทำให้ความไม่รู้และความเห็นผิดหมดไปได้ (เริ่มเข้าใจว่าถ้าไม่ฟังแล้วเข้าใจก็ไม่มีเทคนิคอื่น) เพราะฉะนั้นความเข้าใจไม่ใช่เทคนิคให้เขาทราบด้วย
- เขาเห็นความลึกซึ้งรึยัง ต้องมีความเข้าใจในความลึกซึ้งอย่างยิ่งจึงจะค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งได้
- เดี๋ยวนี้เข้าใจอะไรที่ลึกซึ้ง (คิดตอนนี้) เห็นเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งไหมกำลังเห็น (เห็นธรรมดามากไม่ลึกซึ้งเท่าคิด)
- แล้วอะไรลึกซึ้ง (คุณราชิตมีปัญหาเรื่องอินเตอร์เนท) ไม่เป็นไรเพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่จะให้เขาได้ไตร่ตรองและทุกคนต้องเข้าใจในความลึกซึ้งมิฉะนั้นจะไม่รู้จักพระพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ว่าเรียนทำไมศึกษาทำไม
- ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเห็นว่าอย่างไร
- เพราะฉะนั้นเห็นลึกซึ้งไหม คุณอาช่าคุณอาคิ่ลคิดว่าทุกคนที่ฟังเมื่อกี้นี้เข้าใจแล้ว แต่ว่าคนที่ไม่เข้าใจจะไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรมทุกอย่าง ไม่ใช่อย่างนี้ลึกซึ้งอย่างนั้นไม่ลึกซึ้ง
- คิดเกิดไหม (คิดเกิด) คิดดับไหม (ดับ) เห็นเกิดไหม (เกิด) เห็นดับไหม (ดับ) แข็งเกิดไหม (เกิด) แข็งดับไหม (ดับ) เห็น คิด แข็ง อะไรลึกซึ้ง (ทั้งสามอย่าง)
- เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏเดี๋ยวนี้ดับทั้งหมด เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายที่เกิดแล้วดับ ลึกซึ้งเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏว่า เกิดดับ
- ทำไมธรรมเกิดดับแต่ไม่ปรากฏว่า เกิดดับ (เพราะความลึกซึ้งของธรรม) เพราะเกิดดับเร็วสืบต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ เข้าใจแล้วนะคะ
- เพราะฉะนั้นกำลังเห็นอะไร (เวลานี้เป็นคน เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นมือถือ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนี้) ลึกซึ้งไหม
- สิ่งที่ปรากฏให้เห็นลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้ง) ลึกซึ้งอย่างไรสิ่งที่ปรากฏให้เห็น (เพราะเกิดดับเร็วมากจึงไม่รู้และเห็นขณะหนึ่งไม่ได้ ไม่เข้าใจเห็นแต่ละขณะ) แล้วเข้าใจสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไหม (ไม่เข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นคุณราชิตเห็นคุณอาช่าไหม (เห็น) เห็นอะไร (เห็นอาช่าเพราะว่าเห็นอยู่) เห็นอาช่ายังไง คุณอาช่ากระทบตาหรือ (อาช่าตอบแทนว่า เหมือนเห็นทุกอย่างพร้อมกันแต่จริงๆ แล้วเห็นสีต่างๆ ) ทีละหนึ่งสีใช่ไหม
- ทีละหนึ่งๆ รวมกันเป็นรูปร่างสัณฐาน จำได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณราชิตเห็นคุณอาช่าได้ไหม (ไม่ได้)
- พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่) เพราะพระองค์ตรัสรู้ความลึกซึ้งของสภาพที่มีจริงแต่ละหนึ่งในทุกขณะ
- ถ้าไม่เข้าใจจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นธรรมลึกซึ้งต้องฟังทุกคำเพื่อเห็นความลึกซึ้งว่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย แต่ละหนึ่งที่เราเข้าใจว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต่างๆ
- ถ้าไม่ฟังทุกคำจนเข้าใจจริงๆ จะไม่รู้เลยว่า ในอดีตกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้คำที่เราได้ฟังและกล่าวกับคนที่ได้ไปเฝ้าเพราะเขาสามารถเข้าใจได้เหมือนคนสมัยนี้ไหม ต้องรู้จักความลึกซึ้งจึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ถ้าคนที่ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งนั้นไม่ได้สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถได้เข้าเฝ้า ได้ฟังคำ ได้รู้ความลึกซึ้งของธรรม ต้องอาศัยบารมี
- ถ้าไม่ค่อยๆ ฟังให้เข้าใจลึกซึ้งอย่างยิ่ง เวลาที่ได้ยินคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไม่สามารถจะเข้าใจว่า เห็นขณะนี้ลึกซึ้ง สิ่งที่มีลึกซึ้ง เป็นธรรมทั้งหมดที่ลึกซึ้ง
- คนสมัยโน้นฟังคำของพระพุทธเจ้าเข้าใจเพราะเขาสะสมทีละน้อยๆ ทุกชาติ เดี๋ยวนี้เรากำลังเริ่มที่จะสะสมความเข้าใจถูกต้องจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อได้สามารถเข้าใจทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่มีทุกขณะในชีวิตประจำวันซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนและเข้าใจว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
- เดี๋ยวนี้กำลังฟังความลึกซึ้งที่ไม่เคยฟังมาก่อน เช่น เห็น
- เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทุกขณะในชีวิตตามปรกติให้มีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดและลึกซึ้ง
- ถ้าคิดเรื่องอื่น จำเรื่องอื่น จะไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
- เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม ๔๕ ปีที่ตรัสธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้และทุกขณะในชีวิตที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- ไม่ว่าจะเป็นคำถามอะไร ถ้ามีความเข้าใจถูกจะตอบได้ทั้งหมดเพราะเข้าใจความจริงและความลึกซึ้งอย่างยิ่งของทุกอย่างที่มีคนถาม
- ไม่ทราบมีใครจะถามอะไรรึเปล่า
- คิดดีคิดอย่างไร (ทำดีกับทุกคน คิดดีกับทุกคน) เข้าใจว่าอย่างไรจึงทำดีกับทุกคน คิดดีกับทุกคน
- เมื่อมีความเข้าใจถูกแล้ว คิดดี ทำดีกับทุกคน เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเราเลย มีแต่ธรรมที่ดีและธรรมที่ไม่ดี
- ถ้าคิดว่า เราทำดีกับคนอื่นเขาจะได้ดีกับเรา คิดดีรึเปล่า (ถ้าเราได้ฟังธรรมก็อยากให้คนอื่นได้ฟังธรรมด้วย)
- แต่ก็ยังเป็นตัวเขาใช่ไหม (ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น) เพราะอะไร (เพราะความไม่รู้) เพราะฉะนั้นความไม่รู้ดีไหม
- เพราะฉะนั้นความดีอย่างนั้น ดีเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา
- เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจขึ้น ความคิดดีก็เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ การที่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นให้อะไรดีที่สุด (ให้ความรู้) ให้ความรู้ซึ่งตัวเองต้องรู้ก่อนเพราะความรู้ละเอียดมาก ผิดนิดเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกแล้ว แม้ผิดนิดเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูก
- เรากำลังสนทนาธรรมกันรึเปล่า เพราะฉะนั้นที่เรากำลังสนทนาเป็นปรมัตถธรรมรึเปล่า เป็นอภิธรรมรึเปล่า เป็นอริยสัจธรรมรึเปล่า เป็นอริยสัจธรรมไหน ถามว่าที่เรากำลังสนทนาเป็นอริยสัจธรรมข้อไหนมี ๔ อย่าง
- ต้องเป็นหนทางก่อนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ จะไม่สามารถประจักษ์แจ้งอริยสัจที่ ๑ ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็จะสามารถที่จะประจักษ์แจ้งอริยสัจที่ ๑ ได้
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจเลยจะสามารถประจักษ์แจ้งอริยสัจที่ ๑ ได้ไหม
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้ง เดี๋ยวนี้มีทุกข์ไหม มีหรือไม่มี (มี) แต่ทำไมไม่รู้การเกิดดับซึ่งเป็นทุกข์ (เพราะความเข้าใจน้อย)
- มีข้อความว่า อริยสัจที่ ๑ และอริยสัจที่ ๒ เห็นยากเพราะลึกซึ้ง
- เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด ไม่ใช่อะไรทุกอย่าง เกิดดับสืบต่อ เห็นยากเพราะลึกซึ้ง แต่อริยสัจที่ ๒ และอริยสัจที่ ๔ ลึกซึ้งจึงเห็นยาก
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ความเข้าใจแต่ละหนึ่งขณะเป็นหนทางข้อที่ ๑
- มีใครรู้บ้างความเข้าใจทีละขณะจะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่เห็นยากเพราะลึกซึ้ง คือเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับ
- ความเข้าใจถูกเท่านั้นที่จะเป็นหนทางนำไปสู่ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ที่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดดับ
- เพราะฉะนั้นถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่เข้าใจ ขณะนั้นไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจที่ ๑
- เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจมั่นคงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
- ถ้าไม่เคยฟังเลย เห็นคุณอาช่าใช่ไหม ฟังแล้วถามอีกครั้ง เห็นอะไร (เห็นสีหนึ่งหนึ่งขณะ แต่ขณะนี้ยังรวมกัน)
- ถ้าไม่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จะมีความเข้าใจมั่นคงจนรู้เฉพาะสิ่งที่กระทบตารึเปล่า (ไม่)
- เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงในขณะที่กำลังเห็นเฉพาะตรงนั้นจึงสามารถรู้ได้ อีกนานไหม (นานมาก)
- ถ้าไม่พูดถึงบ่อยๆ ก็ลืม พูดแล้วพูดอีกทุกวันจนกว่าจะมั่นคงและสามารถที่จะ……เพราะฉะนั้นต้องอดทนเท่าไหร่ท่านพระสารีบุตรจึงจะเป็นพระโสดาบัน
- เพื่อไม่ลืม เห็นเป็นธรรมอะไร (เห็นเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่รู้สิ่งที่ปรากฏ)
- ความจริงมีกี่อย่าง ปรมัตถธรรมมีกี่อย่าง เห็นเป็นปรมัตถธรรมอะไร (เป็นจิต)
- เห็นเป็นเจตสิกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร (เห็นรู้สิ่งที่เห็น)
- เพราะฉะนั้นต่อไปคราวหน้าเราจะพูดถึงจิต เจตสิกแต่ละหนึ่งที่กำลังมีในขณะนั้น หรือเขามีปัญหาหรือข้อสงสัยอะไรต้องชัดเจนแต่ต้องมั่นคงว่า ความเข้าใจเท่านั้นที่เป็นอริยสัจที่จะทำให้ถึงอริยสัจที่๑ ได้ ทุกอย่างเป็นธรรม
- วันนี้ก็สมควรแก่เวลา สวัสดีทุกคนค่ะ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์
สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลวิริยะทุกประการของคุณตู่ปริญญ์วุฒิค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ยินดีในกุศลวิริยะของคุณปริญญ์วุฒิ และขอบพระคุณที่แบ่งปันธรรมค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ