แม่่่ของดิฉันเสียวันที่ 14 กันยายนเดือนที่แล้ว หลังจากที่พ่อเสียได้
ไม่ถึง 2 ปี บ้านที่ท่านทั้งสองอาศัยอยู่ ดิฉันเข้าไปเดินในบ้านทีไร
ต้องข่มความเศร้า วางอุเบกขาให้ได้ มิเช่นนั้นจะน้ำตาไหลไม่จบ
-นามนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปอย่างรวดเร็ว
-แต่รูปขันธ์นั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาก็จริง
แต่ใช้เวลานานกว่าจะดับสนิทเป็นท่อนไม้ไร้นามขันธ์4
รูปขันธ์สุดท้ายก็ต้องดับสนิทไปเป็นธรรมดาแต่จิตก็ยังต้องท่องเที่ยวไป
ไม่จบไม่สิ้น ตราบใดยังไม่ถึงมรรคผลนิพพาน
.........เรื่องในอดีตเหมือนความฝัน แล้วตื่นขึ้นมาไม่มีใครเลย
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น มีแต่ธรรม ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล คือ
มีแต่ จิต เจตสิกและรูป จึงบัญญัติว่าเป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ เป็นบิดา มารดาซึ่งสภาพธรรม
ที่เป็นสังขารธรรม คือ จิต เจตสิกและรูป เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งนั่นคือ ต้องเกิด
ขึ้นและดับไป ตราบใดที่ยังมีกิเลส จิต เจตสิกละรูปกก็เกิดขึ้นไม่ขาดสาย เป็นสังสารวัฏฏ์
สืบต่อไปไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น เมื่อขันธ์ 5 เกิดขึ้น คือมีขึ้น จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นก็ต้องดับ
ไป แม้รูปที่เกิดขึ้นก็ดับไปเช่นกัน และก็เกิดขึ้นดับไปไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่รูป เพราะรูป
เกิดจากหลายสมุฏฐาน คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร แม้มารดา ที่เป็นจิต เจตสิกและรูป ตาย
โดยสมมติไปแล้ว (สมมติมรณะ) แต่จิต เจตสิกก็เกิดต่อ เป็นบุคคลใหม่ และแม้ร่างกาย
เดิมที่เคยเป็นบิดา มารดา ก็คือ รูปที่ไม่มีจิต เจตสิกแล้ว แต่รูปนั้นก็ยังเกิดดับต่อไป ตาม
สมุฏฐานที่เกิด แม้ไม่เกิดด้วยกรรมแล้ว แต่เกิดได้ด้วย อุตุเป็นสมุฏฐาน เป็นเหตุให้เกิดรูป
และดับไปเรื่อยๆ ครับ
ส่วนเมื่อยังมีกิเลส ก็อาจกล่าวได้ว่า ยังจะต้องมีรูปอีกต่อไปไม่มีที่สุดสิ้น รูปขันธ์จะไม่ดับ
สนิทเลย ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดรูปที่เกิดจากกรรมในอนาคตและต่อไป
รวมทั้งรูปที่เกิดจากสมุฏฐาน เหตุอื่นๆ ด้วย
ส่วนความเศร้าใจที่เกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังมีกิเลสมาก ย่อมยึดถือ
สำคัญผิดว่ามีบิดา มารดา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ และติดข้องในการอยู่ร่วมกันมา เคยมี
สัญญาความจำ และติดข้องในอดีต เมื่อเข้าไปในสถานที่ที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยจำ
ไว้และเคยติดข้องก็ย่อมเกิดความเศร้าใจในบุคคลที่เคยยึดถือด้วยอำนาจกิเลส ซึ่งแท้
ที่จริงแล้ว บุคคลที่ตายไป จะต้องเกิดทันที ตราบใดที่ยังมีกิเลส ดังนั้น การเศร้าโศกถึง
บุคคลที่เปลี่ยนภพภูมิและไม่รู้ถึงสิ่งที่เราเศร้าโศก ย่อมไม่เกิดประโยชน์
การคิดนึกถึงบุคคลที่จากไป ไม่ต่างจากความฝัน เพราะตื่นขึ้นมาก็ไม่มีอะไรและ
ความฝันก็คือความคิดนึกเป็นเรื่องราว อันไม่ใช่สิ่งที่มีจริงครับ ดังนั้นขณะที่นึกถึงบิดา
มารดาก็คือความคิดนึก ที่เป็นจิตเท่านั้น อยู่กับเรื่องราวที่ไม่มีจริง กับความคิดนึกของ
ตนเอง ไม่ต่างกับที่เรานึกถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่เพื่อนคนนั้นก็อาจจากไป
แล้ว อันแสดงให้เห็นว่า สัตว์โลกย่อมถูก วิตก ที่เป็นเท้าของโลก เที่ยวไปในความคิด
นึก ในสิ่งที่ไม่มีจริงและสำคัญว่า เรื่องราวที่คิดนึก มีจริง ก็ย่อมเศร้าโศกถึงในสิ่งที่ไม่มี
จริงครับ
สิ่งที่คิดถึง จึงไม่ใช่แม้นามและรูปของท่านเลย แต่เป็นเพียง ความคิดนึก ที่เป็น
เรื่องราวอันเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง ทีเ่กิดกับจิตของตนเองครับ
ที่สำคัญ การอบรมปัญญาก็ไม่ใช่จะไม่ให้เศร้าโศก เป็นไปไมได้ ตราบใดที่ยังมี
กิเลสแต่ค่อยๆ เข้าใจความจริงตามเหตุผลที่กล่าวมา ก็จะค่อยๆ คลายความเศร้าโศก
ด้วยความเห็นถูกและปัญญา และที่สำคัญที่สุดหนทางในการดับกิเลส คือ เข้าใจ
เบื้องต้นเสมอว่า สิ่งที่เกิดขึ้น กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิดนึก ความเศร้าโศก ล้วน
แล้วแต่เป็นธรรม ไม่ใช่เรา มีแต่ธรรมทีเกิดขึ้นและดับไป สมดังที่พระพุทธพจน์ ตรัสไว้
ว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นั่นคือ มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับ
ไป ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกเช่นนี้ ก็จะใช้ชีวิตประจำวัน ที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ด้วย
ความเห็นถูกตามความเป็นจริงมากขึ้นครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยความเข้าใจพระธรรม
ครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เป็นข้อคิดเตือนสติ ปลอบใจ ที่ตรงกับความจริงที่สุด.. ยาก.. แต่เป็นไปได้ ด้วยความ
เพียรและความเข้าใจที่ถูกต้อง...ขออนุโมทนาค่ะ
-สมดังที่พระพุทธพจน์ ตรัสไว้ว่า ทุกข์เท่านั้นที่ เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นั่นคือ มี
แต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป
-สิ่งที่คิดถึง จึงไม่ใช่แม้นามและรูปของท่านเลย แต่เป็นเพียง ความคิดนึก ที่เป็นเรื่องราว
อันเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง ทีเ่กิดกับจิตของตนเองครับ
กราบอนุโมทนา ขอบพระคุณอย่างสูงในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ
ดิฉันจะทำความเข้าใจให้มากขึ้นค่ะ
เมื่อพูดถึงความฝัน ก็นึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์สุจินต์ที่พี่แดง (อาจารย์กาญจนา) เคยนำมาลงในกระทู้หนึ่ง ซึ่งท่านอาจารย์ถามว่า "รู้ไหมว่าหลับอยู่ตลอดเวลา" ทำไมเป็นอย่างนั้นต้องอ่านต่อครับในกระทู้นี้
ธรรมบนโต๊ะอาหาร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น บุคคลที่เกิดมาแล้ว ย่อมไม่พ้นไปจากความความตาย ได้เลย ไม่มีใครสามารถเอาชนะความความตายได้ด้วยเวทมนต์คาถา ด้วยการสู้รบ หรือ แม้ด้วยทรัพย์ ในที่สุดแล้วย่อมเป็นผู้ถูกความตายครอบงำอย่างแน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย ทั้งคนฉลาด คนมั่งมี คนยากจน เป็นต้น ล้วนต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่เป็นมารดาบิดา ย่อมทอดทิ้งบุตร บุตรย่อมทอดทิ้งมารดาบิดา ด้วยความตายที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมดา ความตายเป็นสัจจธรรมที่ทุกคนจะต้องประสบอย่างแน่นอน ไม่เร็ว ก็ช้า และไม่สามารถจะทราบได้ว่าจะเป็นเมื่อใด ด้วย สำหรับผู้ที่ยังมีความติดข้องต้องการ ยังไม่ปราศจากโลภะ เมื่อพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก ย่อมมีความเศร้าโศกเสียใจ เป็นธรรมดา เป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรม ได้ว่า แม้ความเศร้าโศก รวมไปถึงสภาพธรรมอื่นๆ ล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น ไม่ใช่เรา เกิดมาแล้ว ในที่สุดก็จะต้องตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลที่เห็นประโยชน์ของตน ย่อมมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าสิ่งที่ควรทำ คือ ประพฤติธรรม ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมา-สัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก (ปัญญา) ไปตามลำดับ เพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถทราบได้ ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ความเป็นผู้ไม่ประมาทนั้นดีที่สุด เพราะเมื่อความตายมาถึง ไม่สามารถจะทำการต่อรองหรือผัดเพี้ยนได้ว่า ขอฟังธรรมก่อน ขอทำดีก่อน เพราะฉะนั้น ทุกๆ วันจึงควรเป็นวันที่จะได้สะสมความดี
และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ พร้อมกันนั้น กุศลทุกประเภทที่เราได้กระทำแล้ว ก็สามารถอุทิศแด่ผู้ที่มีพระคุณผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ นี้คือ สิ่งที่จะเป็นประโยชน์กว่าความเศร้าโศก เพราะความเศร้าโศก เป็นอกุศล แต่การอุทิศส่วนกุศล เป็นกุศล ครับ. .. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาอาจารย์และทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณอย่างสูงที่ทุกท่านที่มีเมตตา
ดิฉันจะพยายามละความเศร้าโศกลง และอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่บ่อยๆ ค่ะ
ดิฉันได้เข้าใจว่า เราหลับอยู่ตลอดเวลา ได้รู้จักว่า ผู้ตื่นคือเมื่อใด
ดิฉันสังเกตุตัวเองว่า เมื่อใดไม่อ่านธรรมะไม่ฟังธรรมะ ดิฉันก็จะแย่เอามากๆ ค่ะ
ที่แย่อยู่แล้ว ก็จะแย่ลงไปอีกค่ะ
"..สัตว์โลกย่อมถูก วิตก ที่เป็นเท้าของโลก เที่ยวไปในความคิดนึกในสิ่งที่ไม่มีจริง
และสำคัญว่า เรื่องราวที่คิดนึก มีจริง ก็ย่อมเศร้าโศกถึงในสิ่งที่ไม่มีจริง.."
"ทุกๆ วันจึงควรเป็นวันที่จะได้สะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ"
"ความเศร้าโศก เป็นอกุศล แต่การอุทิศส่วนกุศล เป็นกุศล"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผเดิม อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ
เรียน อ.กาญจนา หนูชอบ เรื่องธรรมบนโต๊ะอาหาร และเรื่องต่างๆ ที่ อ. เก็บตก (ไม่
ทราบว่าใช้คำผิดหรือไม่) จากการสนทนากับท่าน อ. สุจินต์ ในโอกาสต่างๆ ทำให้รู้สึกว่า
เหมือนได้ติดตามฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์ ได้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น จากการฟัง
MP3 เพียงอย่างเดียว (ยังไม่เคยไป มูลนิธิเลยค่ะ) ไม่พบไม่เห็นแต่เข้าใจได้เมื่อได้ฟัง
กราบขอบพระคุณค่ะ
เรียน อ.กาญจนา หนูชอบ เรื่องธรรมบนโต๊ะอาหาร และเรื่องต่างๆ ที่ อ. เก็บตก (ไม่
ทราบว่าใช้คำผิดหรือไม่) จากการสนทนากับท่าน อ. สุจินต์ ในโอกาสต่างๆ ทำให้รู้สึกว่า
เหมือนได้ติดตามฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์ ได้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น จากการฟัง
MP3 เพียงอย่างเดียว (ยังไม่เคยไป มูลนิธิเลยค่ะ) ไม่พบไม่เห็นแต่เข้าใจได้เมื่อได้ฟัง
กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอกด like ค่ะ
อาจารย์กาญนาเรียบเรียงเรื่องราวได้น่าอ่านมาก เหมือนผู้ใหญ่ใจดีเล่าประสบการณ์
ชีวิตให้เด็กฟัง โดยสอดแทรกข้อคิดในทางธรรมเข้าไปด้วย ภาษาที่ใช้ก็เข้าใจง่ายและ
สละสลวยด้วยค่ะ