กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน
อยากขอกราบเรียนถามว่า ก็พระโสดาบันที่ไม่ปรารถนาจะเรียนปริยัตินั้น มีอยู่บ้างหรือไม่ นัยว่าท่านบรรลุแล้วก็ไม่ปราถนาจะศึกษา เพราะอาจจะด้วยเป็นเรื่องลำบากหรือสั่งสมมาที่จะไม่อยากศึกษาโดยละเอียดทุกประการ
หรือท่านก็มีความปราถนาใคร่จะศึกษาต่างๆ กันแล้วแต่สั่งสมมา ท่านที่บรรลุแล้วปรารถนาศึกษาก็มี หรือท่านที่บรรลุแล้วไม่ปราถนาศึกษาก็มี แต่หลีกเร้นอยู่ในป่า ทำสมณธรรมจนบรรลุคุณธรรมชั้นสูงต่อๆ ไป
เพราะท่านบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว การปฏิบัติท่านก็ตรงแล้ว ท่านก็ไม่มีความจำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียดก็ได้ เพราะท่านเที่ยงแท้ที่จะบรรลุพระอรหันต์อยู่แล้ว ท่านก็อบรมปัญญาของท่านด้วยการเจริญสติปัฏฐานต่อๆ ไปตามที่ท่านได้เคยบรรลุเป็นพระโสดาบันมาแล้ว
หรือท่านจำเป็นต้องศึกษาพระธรรมอีก ต้องฟังอีก โดยที่ว่า ขาดไม่ได้จริงๆ แล้วถ้าอย่างนั้น พระโสดาบันที่ท่านมีอัธยาศัยหลีกเร้น ปลีกวิเวกอยู่ หลีกเร้นอยู่ตามป่า โดยที่ไม่ได้กลับมาฟังพระธรรมจากพระผู้มีพระภาคอีกเลย ท่านก็ไม่อาจทำสมณธรรมจน บรรลุคุณธรรมชั้นสูงได้เหรอครับ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 192
๒. ฐานสูตร
ว่าด้วยลักษณะผู้มีศรัทธา ๓ ประการ
[๔๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส พึงรู้ได้ด้วยสถาน ๓
สถาน ๓ คืออะไร คือ เป็นผู้ใคร่ในการเห็นผู้มีศีลทั้งหลาย ๑ เป็นผู้ใคร่เพื่อจะฟังธรรม ๑ มีใจปราศจากมลทิน คือความตระหนี่อยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีมืออันล้างไว้ (คอยจะหยิบของให้ทาน) ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ พอใจในการให้และการแบ่งปัน ๑
ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส พึงรู้ได้ด้วยสถาน ๓ นี้แล ผู้ใดใคร่ในการเห็นผู้มีศีล ปรารถนาจะฟังพระสัทธรรม กำจัดมลทินคือความ ตระหนี่เสียได้ ผู้นั้นชื่อว่า ผู้มีศรัทธา
จบฐานสูตรที่ ๒
ลักษณะของผู้มีศรัทธาประการหนึ่ง คือ เป็นผู้ที่ใคร่ สนใจในการฟังพระธรรม เพราะ ฉะนั้น พระอริยเจ้าผู้เป็นพระโสดาบัน ผู้มีความศรัทธาอย่างมั่นคงในพระรัตนตรัย ก็ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้ที่สนใจ ใคร่ที่จะฟังพระธรรม แม้จะบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม
แม้แต่พระอรัหนต์ที่บรรลุธรรมแล้ว มีท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ แม้จะทำกิจเสร็จแล้ว ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว แต่ อัธยาศัยอันดีงามไม่ได้หายไปไหน ก็สะสมมาที่จะฟังพระธรรม สนทนาธรรม ซึ่งจะเห็นจากตัวอย่างที่พระอัครสาวกและสาวกอื่นๆ แม้เป็นพระอรหันต์ ก็สอบถามพระพุทธเจ้าใน ปัญาหาธรรมต่างๆ รวมทั้ง พระสาวกทั้งหลายก็สนทนาธรรม อันแสดงถึงความเป็นผู้สนใจในพระธรรมอยู่เสมอ
ส่วน พระโสดาบัน ที่เกิดในอรูปพรหม ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแต่จิต เจตสิก เท่านั้น จึงไม่สามารถที่จะได้ยินหรือเห็น ดังนั้น จึงไม่สามารถฟังพระธรรมได้เลย แต่เพราะความเป็นพระโสดาบัน ทราบหนทางอยู่แล้ว ก็ทำให้สามารถเกิดสติปัฏฐานได้ในขณะที่เกิดในอรูปพรหม แม้ไม่ได้ฟังธรรมเพราะไม่มีรูป คือ หู ที่จะเป็นปัจจัยได้ยิน แต่เพราะท่านทราบหนทางการดำเนินอยู่แล้วจึงเกิดสติปัฏฐานและบรรลุธรรมในอรูปพรหม ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่มีอุปนิสัยที่จะสนใจใฝ่ธรรม เพียงแต่ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ครับ
ส่วน พระโสดาบัน ที่เป็นเทวดาหรือภพภูมิมนุษย์ มีโอกาส เหตุปัจจัย ที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ทำให้เป็นผู้ที่สนใจ และ ฟังพระธรรม มี ท้าวสักกะ เป็นต้น ที่เป็นเทวดาก็สนใจพระธรรม แม้จะบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว และ การฟังพระธรรมก็เป็นเหตุปัจจัยให้ระลึกได้ เกิดสติปัฏฐานได้ด้วยเช่นกัน ครับ
ส่วน ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรม มีอรูปพรหมที่เป็นพระโสดาบัน ก็สามารถเกิดสติปัฏฐานได้ เพราะ สติปัฏฐานเคยเกิดมาแล้ว และ ทราบหนทางการดับกิเลสแล้ว ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ และเมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ในการประกาศพระศาสนาของพระองค์นั้น ก็เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกได้เข้าใจความจริง หลุดพ้นจากทุกข์ หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวงตามพระองค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากการแสดงพระธรรมของพระองค์ในแต่ละครั้งๆ นั้น มีผู้ที่ได้ประโยชน์จากพระธรรมเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ และพระอริยบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น กว่าที่ท่านจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ ท่านก็ต้องเป็นผู้ได้สะสมการสดับตรับฟังพระธรรม สะสมปัญญามาเป็นเวลาอันยาวนานด้วยกันทั้งนั้น และในฐานะที่เป็นสาวกแล้ว ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง บุคคลผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว แน่นอนท่านก็จะต้องได้บรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป ซึ่งท่านก็จะต้องทำกิจที่ควรทำสำหรับท่าน นั่นก็คือ อบรมเจริญปัญญาต่อไป ตามควรแก่เพศของตนๆ เพราะปัญญาไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันเท่านั้น ก็จะต้องมีการอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่ได้รู้ความจริงตามความเป็นจริงยิ่งๆ ขึ้นไป
และจากประเด็นนี้ ก็น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ว่าไม่ควรที่จะท้อถอย ยิ่งยากก็ยิ่งจะต้องศึกษา เพราะปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมา เหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรม ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไปครับ
...ขอบพระคุณ อ. ผเดิม และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระโสดาบันก็ยังมีกิจที่ตัองทำ คือ ต้องเจริญปัญญา ยังฟังพระธรรมจนกว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ ค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ