"โทษ" ของการเกิดดับของสภาพธรรม เป็นอย่างไร
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โทษของการเกิดดับของสภาพธรรม ก็คือ โทษของขันธ์ ๕ ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นและดับไป ซึ่งการเห็นโทษ และ รู้จักโทษ เป็นเรื่องของปัญญา
การพิจารณาโดยความโทษ (อาทีนวะ) ของขันธ์ ๕ ต้องเป็นเรื่องของปัญญา และปัญญาก็มีหลายระดับ ระดับเพียงขั้นคิดพิจารณา ระดับประจักษ์แจ้งตัวขันธ์ ๕ อันเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจริงๆ ในขณะนี้ที่เป็นระดับวิปัสสนาญาณ อันเป็นปัญญาระดับสูง โดยทั่วไปแล้ว เมื่อปัญญายังไม่มากพอ ก็จะเป็นเพียงขั้นคิดพิจารณาที่เห็นโทษในขันธ์ ๕ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ สังเกตได้ เช่น รูป เป็นสิ่งที่หยาบ เป็นสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ประชุมรวมกันเป็นกาย ย่อมพิจารณาเห็นโทษว่าเป็นที่ให้เกิดโรค มีความไม่เที่ยงและทำให้ถึงความตาย เป็นต้น ซึ่งเป็นของหยาบสามารถพิจารณาได้ในชีวิตประจำวัน นั่นก็เป็นการพิจารณาด้วยการเห็นโทษ ด้วยปัญญาที่ยังไม่มาก เพราะว่ายังไมไ่ด้ประจักษ์ความเป็นโทษของรูปธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าไม่เที่ยง เพียงแต่เราพิจารณาเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นร่างกายที่ไม่เที่ยง ยังไม่เข้าถึงตัวปรมัตถ์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ครับ
ส่วนขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามที่กล่าวแล้วรูปเป็นส่วนที่หยาบ เมื่อเทียบกับนาม รูปจึงพอพิจารณาที่เห็นโทษได้ ส่วนนามธรรมเป็นส่วนละเอียด ย่อมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก เพราะต้องเห็นด้วยปัญญาระดับสูงไม่ใช่การคิดพิจารณาเรื่องราวของสภาพธรรม ความไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ รวมทั้งเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณนั่นแหละเป็นโทษ เป็นโทษอย่างไร เพราะปุถุชนทั้งหลายย่อมตามยึดถือว่า รูปของเรา เราเป็นรูป เวทนาเป็นเรา .. วิญญาณ (จิต) เป็นเรา เมื่อยึดถือ ย่อมยินดี ติดข้องพอใจในขันธ์ ๕ แต่ความเป็นโทษของขันธ์ ๕ รวมทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีความไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยง แปรปรวนไป ย่อมเป็นทุกข์โทมนัสเพราะสภาพธรรมนั้นแปรปรวนไป เวทนา ความรู้สึก หมู่สัตว์ย่อมติดข้องพอใจในเวทนาและสำคัญผิดว่าเป็นเราที่รู้สึก จึงติดข้องในความรู้สึกที่สุข เมื่อความสุขโสมนัสแปรปรวนไป ก็ย่อมทุกข์ โทมนัส เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง สัญญา สังขาร และวิญญาณก็โดยนัยเดียวกัน ยึดถือว่าเป็นเรา แต่เมื่อสภาพธรรมนั้นแปรปรวนไปก็ต้องทุกข์ โทมนัส
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...
คุณและโทษของขันธ์ ๕ [มหาปุณณมสูตร]
เมื่อมีการยึดถือขันธ์ ๕ ยินดี ติดข้อง ด้วยความไม่รู้ ก็ย่อมทำกรรมประการต่างๆ เวียนเกิด เวียนตายไม่มีที่สิ้นสุด เพราะอาศัยขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ประชุมกันเกิดขึ้น เมื่อมีการเกิดขึ้นของขันธ์ สัตว์ทั้งหลายก็ต้องประสบทุกข์ประการต่างๆ ทั้งกายและใจ อันเกิดจากการบังเกิดของขันธ์ ๕ การบังเกิดขึ้นของขันธ์จึงเป็นตัวทุกข์ เพราะรูปจะเกิดขึ้นมาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยการประชุมของนามธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงเป็นขันธ์ ๕ ครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่นะครับ
ความเกิดขึ้นของขันธ์ 5 เป็นทุกข์ [อุปปาทสูตร]
เพลิดเพลิน ติดข้องในขันธ์ทำให้ทุกข์ [อภินันทนสูตร]
นี่เราพูดเพียงขั้นคิดพิจารณาเรื่องราวที่เห็นโทษของขันธ์ ๕ ทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเห็นโทษจริงๆ ที่เป็นอาทีนวญาณที่เป็นวิปัสสนาญาณนั้นจะต้องเห็นความไม่เที่ยงจริงๆ ของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งขณะนี้เราก็ไม่ได้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นและดับไปเลย ปัญญาการเห็นโทษจึงเป็นปัญญาระดับสูงที่เห็นถึงความเกิดดับของขันธ์ ๕ หรือสภาพธรรม ครับ
[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 819
[๗๓๖] การพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็น อนิจจานุปัสสนา โดยความเป็นทุกข์ เป็นทุกขานุปัสนา โดยความเป็นโรค เป็นทุกขานุปัสสนา โดยความเป็นดังหัวฝี เป็นทุกขานุปัสสนา โดยความเป็นดังลูกศรเป็นทุกขานุปัสสนา
จะเห็นครับว่าปัญญาที่เห็นโทษของขันธ์ ๕ จริงๆ นั้น เป็นปัญญาระดับสูง คือเห็นความไม่เที่ยงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ที่เป็นขันธ์ ๕ เพราะฉะนั้น ก่อนจะถึงเห็นความไม่เที่ยง เมื่อเห็นความไม่เที่ยงแล้วจึงเห็นความเป็นภัยของสภาพธรรม ซึ่งการเห็นถึงความไม่เที่ยงและความเป็นภัยต้องเป็นปัญญาระดับสูงมากที่เป็นวิปัสสนาญาณ ซึ่งก่อนจะถึงตรงนั้น ปัญญาต้องเริ่มจากการเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ อันไม่ใช่การคิดพิจารณาเป็นเรื่องราวว่าขณะนี้เป็นธรรม แต่รู้ตัวธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฎ รู้ลักษณะของสภาพธรรม หากไม่รู้ตัวธรรมแล้วจะรู้ความไม่เที่ยงของสภาพธรรมไม่ได้เลย ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องของปัญญา แต่สำคัญที่ว่าต้องเริ่มจากปัญญาขั้นต้นก่อน ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นเรื่องของปัญญา และ จะต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม เห็นคุณของปัญญา ไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญที่จะทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงจะเป็นผู้เห็นโทษเห็นภัยของสภาพธรรมที่เกิดดับซึ่ง ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ปราศจากความเที่ยง ความยั่งยืนและความเป็นตัวตน ไม่ควรยินดีติดข้องเป็นอย่างยิ่งตามระดับขั้นของปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น
ตราบใดที่ยังมีอวิชชา ความไม่รู้ อีกทั้งยังมีตัณหา ความติดข้อง ยินดีพอใจเป็นเครื่องผูกไว้ จึงยังมีการเกิดอยู่ร่ำไป ท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อย่างไม่มีวันจบสิ้น ที่สุดของสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่ปรากฏ ซึ่งแต่ละบุคคลก็ได้เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา คนมั่งมี คนตกทุกข์ได้ยาก คนมีความสุข เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นต้น แต่ในชาตินี้ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วด้วยผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นการได้ที่ได้แสนยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือปัญญา จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น สามารถจะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอีกเลย เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่ต้องเดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ยาวไกลแสนไกลมาก แต่ก็สามารถเริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมได้ตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สภาพธรรมที่เกิดดับไม่เที่ยงนั่นแหละเป็นทุกข์ เมื่อไม่รู้ก็ติดข้อง จนกว่าจะได้ศึกษาธรรมเข้าใจขึ้น เช่น เห็นไม่ใช่เรา ปัญญารู้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่าน ครับ.
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เมื่อเห็นการเกิดดับจริงๆ ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ... ย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง จิตที่ประกอบด้วยธรรมฝ่ายดีที่มีกำลังกล้าจึงประจักษ์ธรรมที่ไม่เกิดได้ด้วยโลกุตรปัญญา
ขออนุโมทนาทุกท่านคะ
เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
คน คือ จิต เจตสิก รูป เป็น สภาพธรรม เท่านั้น แต่ เรา ยึดสภาพธรรมแต่ละอย่างว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน จริงๆ ขณะที่เห็นๆ เพียงสิ่งที่ ปรากฏทางตาเท่านั้นจิตเห็นไม่ใช่เรา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ