เวลามีงานศพ งานแต่งงาน งานทำบุญบ้าน สิ่งที่ชาวพุทธไม่รู้ คือทำต่อๆ กันมาคือต้องมีเงินใส่ซองให้พระสงฆ์ที่นิมนต์มา แล้วถ้าไม่ให้ซองพระแล้วเราต้องทำอย่างไรคะ โดยเฉพาะงานศพก็มีความเชื่ออย่างฝังแน่นว่าถ้าตายแล้วไม่มีพระมาสวด ดวงวิญญาณจะไม่พบหนทางที่จะต้องไป
ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่รับเงินและทอง รับเงินและทองไม่ได้ เป็นผู้ปราศจากเงินและทองอย่างสิ้นเชิง เพราะท่านเหล่านั้น ต้องสละทรัพย์สินเงินทองก่อนบวชแล้ว ดังนั้น เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว จึงรับเงินและทองไม่ได้ เงินทองไม่ควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง ไม่มีพระพุทธดำรัสแม้แต่คำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้พระภิกษุรับเงินและทองหรือไปแสวงหาเงินและทอง ตามข้อความจาก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒
มณิจูฬกสูตร
“ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณศากยบุตร ห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน ... เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอะไรเลย”
พระภิกษุ คือ เพศที่สูงกว่าคฤหัสถ์ เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้เว้นโดยทั่ว ได้แก่ เว้นจากกิเลส เว้นจากความติดข้องยินดีพอใจในกาม จะเห็นได้ว่าผู้ที่ออกบวชเป็นบรรพชิตนั้น ต้องสละทุกสิ่งทุกอย่าง คือ สละอาคารบ้านเรือน สละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติ บวชเป็นบรรพชิตเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองจริงๆ ท่านสละอาคารบ้านเรือนแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีเรือน รวมถึงสละทรัพย์สมบัติทั้งปวงด้วยไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง เป็นต้น เมื่อสละสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ควรรับสิ่งเหล่านี้ ไม่ควรมีสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง
ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลผู้ที่จะบวชจะต้องเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยน้อมไปในการบวชจริงๆ รู้จักตนเองและพิจารณาตนเองโดยละเอียดว่า สามารถที่จะดำรงเพศที่มีคุณธรรมสูงกว่าคฤหัสถ์ได้หรือไม่? เพศบรรพชิตเป็นเพศที่สูงกว่าคฤหัสถ์เป็นอย่างยิ่งที่สูงกว่านั้น สูงเพราะคุณธรรม เนื่องจากว่าผู้ที่เป็นบรรพชิต จะต้องมีความมั่นคงที่จะสละกิเลสทุกอย่างทุกประการ มากกว่าผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ พร้อมกันนั้นก็จะต้องเป็นผู้มีความอดทน มีความเพียรที่จะศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจอย่างถูกต้อง น้อมประพฤติในส่วนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต และงดเว้นจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามโดยประการทั้งปวง นี้คือชีวิตที่แท้จริงของบรรพชิต ซึ่งมีความแตกต่างจากคฤหัสถ์ ถ้าบรรพชิตใดมีความเป็นอยู่ไม่ต่างกับคฤหัสถ์ ยังต้องการทรัพย์สมบัติ ยังมีจิตใจเหมือนคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนทุกประการ นั่นก็ไม่ใช่วิสัยของผู้ที่มีอัธยาศัยที่จะเป็นบรรพชิตที่แท้จริงถ้าต้องการทรัพย์สินเงินทอง อยากมีทรัพย์สินเงินทอง ก็ไม่ต้องบวช เพราะผู้ที่เป็นพระภิกษุจะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ จึงควรแก่การครองผ้ากาสาวพัสตร์ซึ่งเป็นเพศที่สูงยิ่ง
เราไม่สามารถจะไปทำอะไรได้ ไม่สามารถจะไปจัดการอะไรได้ นอกจากการกล่าวคำจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระภิกษุที่ท่านสำนึกในความเป็นภิกษุ ก็ย่อมจะมีความละอาย ไม่ล่วงละเมิด หรือ ถ้าล่วงละเมิดแล้ว ก็เห็นโทษ แก้ไขให้ถูกต้องตามพระวินัย ส่วนพระภิกษุที่ไม่ละอาย ก็ทำผิดต่อไป ใครจะช่วยท่านได้ ไม่ว่าจะบวชนานหรือไม่นานก็ตาม อบายภูมิรออยู่ข้างหน้าแล้ว ถ้าล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่แก้ไข ไม่กระทำคืนให้ถูกต้องตามพระวินัย มีอาบัติติดตัว และยังปฏิญาณว่าเป็นพระภิกษุ หากมรณภาพไป ชาติถัดไป ก็คือ เกิดในอบายภูมิเท่านั้น ส่วนคฤหัสถ์ที่เข้าใจพระวินัย ก็ไม่ทำในสิ่งที่จะเป็นเหตุให้พระภิกษุต้องอาบัติ เมื่อรู้ว่าสิ่งใดผิด ก็ไม่ทำสิ่งนั้น แต่จะทำเฉพาะสิ่งที่ถูกต้อง เท่านั้น ง่ายนิดเดียว คือ ไม่ให้เงินพระภิกษุ แต่จะถวายสิ่งที่เหมาะควรแก่พระภิกษุเท่านั้น
# ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ตายแล้ว เกิดทันที ไปตามกรรมของแต่ละคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการนิมนต์พระมาสวดพระอภิธรรมแต่อย่างใด เพราะทันที่จุติจิตเกิดแล้วดับไป ปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อเป็นบุคคลใหม่ทันที โดยไม่มีจิตอื่นคั่นเลย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ