เมื่อยังมีกิเลส ถูกกระตุ้นด้วยถ้อยคำบางอย่าง มีโกรธเกิดขึ้น แต่มิได้พูดอะไรโต้ตอบ คำพูดด่าทอมีอยู่ในใจ เมื่อถูกกระตุ้นมากขึ้น เกิดปากขมุบขมิบเล็กน้อย เป็น หนึ่งคำด่าออกมา เป็นลมค่อยๆ ผุบๆ ออกมา แต่ไม่ถึงกับเป็นคำชัดเจนที่อีกฝ่ายจะได้ยิน อีกฝ่ายยืนใกล้ๆ กัน เราและเขาต่างใส่หน้ากากกัน เช่นนี้ถือว่าครบ กรรมบถ ผรุสวาจา หรือไม่
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๙๖
ผรุสวาจานั้น มีองค์ ๓ คือ
๑. อกฺโกสิตพฺโพ ปโร คนอื่นที่ตนด่า
๒. กุปิตจิตฺตํ จิตโกรธ
๓. อกฺโกสนา การด่า
ผรุสวาจา การกล่าววาจาที่หยาบ ก็ต้องมีกำลังของอกุศล ตั้งแต่คิดในใจ โกรธขุ่นใจ อยากจะด่าว่าคนอื่น จนถึงเปล่งพูดออกมา พูดว่าคนอื่น แต่ ยังไม่ได้ให้คนอื่นรู้ แสดงถึงกำลังของกิเลสที่มากกว่าจะคิดในใจ แต่เมื่อพูดออกมา ก็มากกว่าคิดในใจ แต่ก็ยังไม่มีกำลังถึง พูดด่าให้คนอื่นได้รู้ ให้มีคนที่ถูกด่าว่า ดังนั้น การพูดออกมาขมุบขมิบคนเดียว ก็ไม่มีกำลังเท่าการด่าว่าให้คนอื่นรู้ จึงจะเป็นการครบกรรมบถ ที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ถูกด่าว่า ครับ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพียงแค่อกุศลจิตที่เกิดขึ้น ก็ไม่ดีแล้ว เป็นโทษแล้วในขณะนั้น ประการที่สำคัญ แม้ยังไม่ถึงกับมีกำลังกล้าล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมทางกายหรือทางวาจา ก็เป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้เลย เพราะถ้าประมาท ไม่เห็นโทษของกิเลส อาจจะเป็นเหตุให้ทำอกุศลกรรมประการต่างๆ ได้ เป็นโทษเท่านั้น ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นโทษจริงๆ ครับ เพียงอกุศลเกิด ก็เดือดร้อนแล้วครับ ประมาทในอกุศลเล็กน้อยไม่ได้เลยจริงๆ ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ