วันก่อนน้องโทร.มาให้ช่วยอยู่เวรให้ ดิฉันก็รับปากขึ้นเวรให้ พอตอนเช้าวันนี้ โทร.มาขอยกเลิก จะขึ้นเวรเอง ดิฉันก็ตกลง ไม่เป็นไร จะขึ้นเองก็ OK พอตอนบ่ายๆ โทร.มาอีกบอกให้ดิฉันไปอยู่เวรแทน ดิฉันเลยปฏิเสธไปทั้งๆ ที่ว่าง เพราะนึกโกรธ จึงไม่ไปขึ้นเวรให้ เลยผิดศีลข้อมุสาเลย เพราะกิเลสตัวเองจริงๆ คิดได้ก็สายไปแล้ว ไม่น่าเลย แต่ก็โยนิโสพิจารณาว่า จิตที่เกิดทั้งอกุศลและกุศลเป็นสภาพธรรมะ ที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้
ธรรมดาของปุถุชนผู้ที่มีกิเลสหนา มีปัญญาน้อย ย่อมล่วงอกุศลกรรมเสมอส่วนพระอริยบุคคลผู้ประเสริฐ ท่านย่อมเป็นผู้มีปรกติมั่นคงในศีล ไม่มีแม้จิตที่คิดก้าวล่วง ไม่ต้องกล่าวถึงการกระทำทางกาย ทางวาจา ความจริงแล้วเราควรเป็นผู้รักษาศีลเนืองนิจ ดังโอวาทที่ตรัสไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลายผู้จะตามรักษาศีล จงเป็นผู้มีศีลที่เป็นที่รักด้วยดี มีความเคารพ (ในศีล) ทุกเมื่อไป ดุจนกต้อยติวิดรักษาฟอง จามรี รักษาขนหาง มารดารักษาบุตรที่รักคนเดียว คนตาเดียวรักษานัยน์ตา (ที่เหลืออยู่) ข้างเดียวฉะนั้น"
ควรตรึกให้กุศลวิตกเกิดด้วยพระธรรม มากกว่าที่จะตรึกให้อกุศลวิตกเกิดด้วยความเป็นเราที่ได้กระทำผิด สมาทานศีล แล้วก็ศึกษาพระธรรมเพื่อเจริญปัญญาต่อไป อกุศลกรรมใดทำสำเร็จแล้ว ล่วงไปแล้ว ย่อมพร้อมที่จะให้ผลในภายภาคหน้า กลับไปแก้ไขกรรมนั้นไม่ได้อีก แต่ขณะนี้ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ควรเจริญกุศลทุกประการ และไม่ประมาทในโทษของอกุศล แม้ให้ผลประมาณน้อย
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การรักษาศีลไม่ใช่ของง่าย เพราะถ้ามีเหตุปัจจัยพร้อมก็สามารถจล่วงศีลได้ ศีลจึงมีที่สุดเพราะลาภ เพราะยศ เพราะทรัพย์
เพราะญาติ เพราะอวัยวะ เพราะชีวิต
ยินดีในกุศลจิตค่ะ