ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๗
~ กิเลสทั้งหมดจะค่อยๆ ละคลายได้ ก็เมื่ออบรมเจริญปัญญารู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เมื่อใดดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล กิเลสอื่นๆ จึงจะค่อยๆ ละคลายได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่จะไม่มีโทสะ ต้องเป็นพระอนาคามีบุคคล ผู้ที่จะไม่มีโลภะและโมหะเลย ก็ต้องเป็นพระอรหันต์
~ การให้ของท่านเป็นบารมีหรือไม่ใช่บารมี? ถ้าจะเป็นบารมีจริงๆ ก็หมายความว่า ต้องถึงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นฝั่งที่ดับกิเลส ต่างจากฝั่งซึ่งเป็นฝั่งของกิเลส เพราะฉะนั้นการที่จะถึงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งแสนไกล ก็ไม่ใช่ว่าจะถึงโดยง่าย แต่จะต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นเรื่องของการละกิเลส เป็นเรื่องของการขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นแม้การให้ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่า มีการมุ่งหวังสิ่งใดเป็นการตอบแทนหรือไม่ ถ้ายังคงหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใด การให้นั้นไม่ใช่บารมี เพราะเหตุว่ายังเป็นไปกับกิเลส เพราะฉะนั้นการให้ที่จะเป็นการละโลภะ ต้องเป็นการให้เพื่อขัดเกลากิเลส คือ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนทั้งสิ้น
~ ขณะใดที่ปกติเป็นอกุศล ทุกวันชีวิตเป็นไปในเรื่องของอกุศลทั้งนั้น ขณะนั้นก็เป็นอกุศลศีล ถ้าปกติเป็นผู้ที่มีศีล เป็นผู้ที่มีกาย วาจาสุจริต นั่นก็เป็นกุศลศีล เพราะฉะนั้นปกติจริง แต่ว่าปกติเป็นอกุศลศีล หรือว่าปกติเป็นกุศลศีล
~ หนทางเดียวที่จะทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือการเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งการศึกษา การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถจะระลึกได้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ก็ย่อมแสดงถึงการเคยได้ฟังพระธรรม การเคยได้พิจารณาพระธรรม และการเข้าใจธรรมในอดีตด้วย
~ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่สุจริต ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เคยโกง หรือเคยส่อเสียด เคยกินสินบน เคยดุร้าย เคยหยาบคายในกาลก่อน เพราะเหตุว่าขณะใดที่โกง กำลังกระทำทุจริต ขณะนั้นย่อมไม่เห็นโทษ แต่ว่าโทษของทุจริตย่อมมี ไม่มีใครสรรเสริญ และผลของทุจริตนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมแล้วแต่ว่า จะได้รับผลของทุจริตในชาติปัจจุบัน หรือในชาติต่อๆ ไป
~ คนที่มีทุกขเวทนา (ความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกาย) มากๆ ก็จะรู้สึกซาบซึ้งทีเดียวในลักษณะการอุปมาทุกขเวทนาเหมือนลูกศร ย่อมให้เกิดความเจ็บปวดทั้งนั้น วันนี้อาจจะแข็งแรงดี แต่ไม่แน่ คืนนี้อาจจะต้องปวดเจ็บที่หนึ่งที่ใด ก็ได้
~ จะต้องอาศัยการฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้เห็นทุกข์โทษภัยของสังสารวัฏฏ์แล้วก็จะได้มีวิริยะ มีความเพียร ที่จะให้เกิดความเข้าใจสภาพธรรมยิ่งขึ้น
~ ผู้ที่มีอวิชชา ก็เป็นสภาพที่มืดตื้อ เพราะอวิชชาปิดกั้นไว้ ลองนึกถึงถ้าอยู่ในห้องที่มืดตื้อ ทุกคนต้องพยายามแสวงหาทางที่จะออกจากความมืด เพราะเหตุว่าจะต้องมีความตกใจกลัวที่จะอยู่ในห้องที่มืดตื้อ หรือว่าจะมีแต่ความมืดตื้อปกคลุมไว้ทั้งหมด ถ้าเป็นลักษณะนั้นจริงๆ จะเห็นภัย เห็นอันตราย และแสวงหาทางที่จะออกจากความมืด แต่ขณะนี้ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น จนกว่าปัญญาจะพิจารณาเห็นว่า เมื่อมีอวิชชา ต้องมืด เพราะว่ายังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง นอกจากจะอยู่ในที่มืดตื้อแล้ว ยังถูกใส่เข้าไปในกรงกิเลส
~ มานะ ความสำคัญตน เป็นเครื่องกั้นการเจริญของปัญญา สำหรับผู้ที่ไม่ฟังธรรมจากบุคคลที่ควรฟัง เพราะมีความสำคัญตนประการต่างๆ เช่น อาจจะสำคัญตนว่าสูงกว่า หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าเสมอกัน หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าต่ำกว่า ก็เลยไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปนั่งใกล้ ไม่เข้าไปฟัง เป็นเหตุให้ไม่มีการสอบถาม (ทำให้) ไม่มีการเข้าใจธรรม
~ ถ้าใครทำให้เสียหาย ทำให้เดือดร้อน แทนที่จะโกรธ ก็รู้ว่าเป็นการเพิ่มพูนขันติบารมี (ความอดทน) ให้สมบูรณ์ขึ้น
~ ทุกชาติที่ทุกท่านฟังพระธรรม ก็เพื่อที่จะรู้ธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ถ้าท่านรู้ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามปกติ ตามความเป็นจริง จะไม่มีความสงสัยใดๆ เลยทั้งสิ้นว่า ทำไมบุคคลนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาจบลง จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่รู้ธรรมทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
~ พุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่ให้เกิดความไม่รู้เลย ยิ่งศึกษาก็จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม และเหตุผลของสภาพธรรมนั้นๆ ยิ่งขึ้น จึงจะเป็นพระพุทธศาสนา คือ เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ บางคนโกรธต่อผู้ที่มีความเห็นถูก เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีการสอบถามว่า ผิดอย่างไร ถูกอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อโกรธเสียแล้ว ก็ไม่สามารถจะเจริญปัญญาที่จะมีความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรมได้
~ ใครก็ตามที่มีอกุศล และไม่เห็นโทษของอกุศลนั้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเห็นได้ว่า ความดีที่คิดจะทำเพื่อที่จะละอกุศลในขณะนั้นยังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ต้องยากยิ่งกว่านั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ จะรีบทำความดีไหม จะรีบละอกุศลในขณะนั้นที่กำลังเกิดไหม?
~ ถ้าเป็นผู้มีปัญญาแล้ว ไม่ว่าความเสียหายใดๆ ที่คนอื่นกระทำกับท่าน ย่อมเพิ่มพูนความมั่นคง ความสมบูรณ์แห่งขันติ แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ทรามปัญญา (คือไม่มีปัญญา) ความเสียหายที่ผู้อื่นนำไปให้แก่ผู้ปราศจากปัญญา ย่อมเพิ่มพูนความเป็นปฏิปักษ์ (ความตรงกันข้าม) ของความอดทน (ก็คือ เพิ่มอกุศล โดยเฉพาะความโกรธ ความไม่พอใจ)
~ ทุกท่านที่กำลังฟังพระธรรมในขณะนี้ กำลังอบรมปัญญาบารมี พร้อมด้วยวิริยบารมี (ความเพียร) และขันติบารมี (ความอดทน) เพื่อที่วันหนึ่งปัญญาที่เป็นความสว่างที่รู้แจ้งสภาพธรรมจะปรากฏ จะเกิดขึ้นได้
~ เมื่อมีความไม่รู้แล้ว ก็มีกิเลสอื่นๆ มีทั้งความติดข้อง มีทั้งความโกรธ มีทั้งความสำคัญตน ทุกอย่างที่ไม่ดีทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะของคนพาล ก็เพราะมาจากความไม่รู้
~ ทุจริตมีมานานแล้ว หรือว่าพึ่งมามี? มีมานานแล้ว ถ้ามีความไม่รู้ ก็ยังคงมีทุจริต
ไม่ว่ากาลสมัยไหน
~ อกุศลทั้งหมด จะดีไม่ได้
~ สิ่งอื่นไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาได้ นอกจากความเข้าใจธรรม.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๒๑๖
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย อย่างยิ่งค่ะ
กราบขอบพระคุณและอมุโมทนาค่ะ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
อันพระสูตรท่านให้ นานมา เสริมอีกคำสนทนา เด่นล้ำ อาจารย์สุจินต์พา ตรองตรึก ฟังอภิธรรมตามค้ำ เกิดล้วนอนัตตา