ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
“เก็บไว้ในหทัย”
(บันทึกจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์)
-สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่รู้ จึงหลงผิดยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
-ชีวิตก็เพียง ๑ ขณะ จะไม่มี ๒ - ๓ ขณะพร้อมกัน
-สะสมความไม่รู้มามาก เพราะฉะนั้น จึงขาดการฟังพระธรรมไม่ได้
-ธรรม เป็น ธรรม ธรรมฝ่ายดี จะให้ผลไม่ดี ไม่ได้ ธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ทำให้เกิดผล ต้องเป็นผลที่ไม่ดี
-เห็น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วก็ดับไป
-กี่ชาติมาแล้ว ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม
-ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย และไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ถาวรเลย เพราะเกิดแล้วก็ต้องดับไป จึงไม่มีสิ่งใดที่ควรแก่การติดข้องยินดีพอใจ
-ทุกคนเกิดมาแล้ว ต้องละจากโลกนี้ไปแน่ แล้วเมื่อไหร่ แล้วไปไหน ก็ต้องตามเหตุตามปัจจัยอีกเหมือนกัน
-ทุกชาติเป็นอย่างนี้ คือ มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป แล้วจะรู้หรือไม่รู้ ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคล
-ถ้าไม่สนใจฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย
-ทรัพย์สมบัติติดตามคนตายไปไม่ได้ อย่าว่าแต่หนึ่งบาทเลย แม้แต่หนึ่งสลึงก็ติดตามไปไม่ได้
-รูป ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็นำเอาร่างกายไปด้วยไม่ได้
-เราหลงอยู่ในสังสารวัฏฏ์มานานแสนนานแล้ว แม้จะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ก็ไม่รู้ความเป็นจริงของธรรม
-ชีวิตของแต่ละคน ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย
-เพียงไม่มีจิต รูปร่างกาย ก็ทำอะไรไม่ได้ เคลื่อนไหวไปไม่ได้เลย
-ทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้ เกิดแล้วก็ดับไป เมื่อเกิดแล้วดับไป จะเป็นของใครได้
-ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงหน่าย คลายจากความติดข้อง
-ถ้าไม่คิด แผนก็ไม่มี คิด เกิดเมื่อไหร่ก็มีเรื่องที่คิด และปัญญา สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ว่า คิด เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
-ขณะที่ไม่เข้าใจความจริง ขณะนั้นก็โปรยธุลีลงในจิต หนทางที่จะทำให้ธุลีคือกิเลสน้อยลง คือ ได้เข้าใจธรรม
-แต่ละคนมีความประพฤติตามที่เป็นไป เพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น
-ถ้าสะสมกุศล อบรมเจริญปัญญา ความเห็นถูกก็จะมีกำลังขึ้นได้
-เกิดกุศลแล้วแม้เพียงมีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม ซึ่งเป็นขณะที่หาได้ยากในขณะนี้
-ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีใครได้ยินแม้แต่คำว่า ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้
-จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจธรรม ก่อนตาย เพราะถ้าก่อนตาย ยังไม่เข้าใจธรรม ก็จะไม่รู้ต่อไป
-ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ชีวิตไม่ได้มีสาระอะไรเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
-ถ้าไม่ฟังพระธรรมในขณะนี้ ก็จะไม่สามารถเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมได้เลย
-แสงสว่างของปัญญาจะส่องให้เห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
-ดี เพราะเพียงแค่ไม่ทำทุจริตกรรม พอไหม? ไม่พอแน่ เพราะถ้าไม่สะสมความดี ไม่อบรมเจริญปัญญา อกุศลก็จะเพิ่มมากขึ้น
-ถ้ามีกุศลเกิดมากขึ้น ความไม่ดีที่จะเกิดขึ้นก็จะน้อยลง
-ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ใครก็หยุดยั้งให้ไม่ฟังพระธรรม ไม่ได้เลย
-ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้ เป็นสิ่งที่รู้ได้ แต่ไม่รู้ แล้วควรที่จะรู้ไหม?
-สิ่งใดที่เกิดแล้ว ดับแล้ว สิ่งนั้นไม่กลับมาอีกเลย
-ละวาง คือ ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ซึ่งยึดถือมานานแสนนาน
-โลกของอวิชชา ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่โลกของปัญญา รู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง
-ทุกขณะเป็นธรรมทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้เลย
-ขณะที่เข้าใจถูกเห็นถูก จะไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ มีแต่สภาพธรรมฝ่ายดี มีศรัทธา เป็นต้น รวมถึงปัญญาด้วย
-ข้อความในพระไตรปิฎก แสดงถึงความจริงในขณะนี้ทั้งหมด
-พระอรหันต์ ไม่มีแม้แต่ละอองของกิเลสซึ่งเล็กน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทใดๆ ก็ตาม ไม่มีเกิดขึ้นอีกเลย
-หวังไปต่างๆ นานาก็เพราะความไม่รู้
-ความติดข้อง มีจริง ไม่ใช่เรา
-คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด จะประมวลลงที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ
-ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่รู้ต่อไปในทุกภพทุกชาติ
-เกิดมาแล้วตายไป ไม่เปล่าประโยชน์ ถ้าได้เข้าใจพระธรรม
-สิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง คือ ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ
-ไม่นานก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ดีชั่วที่สะสมไว้เท่านั้นที่จะติดตามไป
-จากที่ชั่ว แล้วเป็นดีได้ ใครที่จะทำให้เป็นอย่างนี้ได้? ความเข้าใจพระธรรม
-มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะต้องเป็นผู้รู้คุณคือพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงแสดงไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จมาจากการขอ แต่ต้องมีเหตุปัจจัย
-เพราะรู้ว่าไม่รู้จึงมีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ
-ศรัทธา เป็นศรัทธา ไม่ใช่จิต
-เห็น เป็นธรรม ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล
-เมื่อกล่าวถึงกุศล อกุศล ไม่ได้อยู่ในตำราเลย แต่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน
-ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิบัติก็มีไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงปฏิเวธ (การแทงตลอดสภาพธรรมตามความเป็นจริง)
-เห็นว่ามีคน มีสัตว์จริงๆ ที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ถูกหรือผิด? ผิด แล้วจะรู้ว่าผิดได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
-ทำอกุศลกรรมมาเยอะแยะแล้ว แค่ปล่อยนกจะพ้นหรือ
-ขณะที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี้แหละ คือ เห็นผิด กว่าจะไม่มีความเห็นผิด ก็ต้องสะสมความเข้าใจถูกตั้งแต่ในขณะนี้
-กล่าวได้ว่า ทั่วโลกมีการปฏิบัติ แต่เข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่า ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติด้วยความไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร ถ้าไม่เข้าใจถูกเห็นถูก ก็ไม่ต้องพูดถึงปฏิบัติ เพราะผิดแน่
-ปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ด้วยสติและปัญญา
-ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว จะไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้หรือ?
-ปัญญา เป็นสิ่งที่เงินทองซื้อไม่ได้
-เพราะยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความไม่ดีประการต่างๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย เพราะมีความเข้าใจถูกเห็นถูก ความดีประการต่างๆ ก็ตามมาอีกมากมายเหมือนกัน
-เหตุไม่ดี ไม่สามารถทำให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นได้เลย และ เหตุที่ดี ไม่สามารถทำให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นได้เลย
-ปฏิบัติคลาดเคลื่อนจากความเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรม นี้แหละคือ สีลัพพตปรามาส
-เมื่อมีโอกาสได้พบปะกัน ประโยชน์คืออะไร? มีโอกาสได้เกื้อกูลกันและกันให้ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม
-อริยทรัพย์ ใครๆ ก็แย่งชิงไปไม่ได้ เพราะสะสมอยู่ในจิต
-สวดมนต์ กับ เข้าใจธรรม อย่างไหนจะดีกว่ากัน มีคนชวนไปสวดมนต์ กับ ชวนไปฟังธรรมจะไปกับใคร พุทธประสงค์จริงๆ คือ ให้พุทธบริษัทได้เข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่อย่างอื่น
-นอบน้อมจริงๆ ด้วยกาย วาจา ใจ จึงเป็นกุศล
-จะไม่ละเลยโอกาสของการทำดี แม้เพียงเล็กน้อย เพราะเห็นคุณของความดี
-ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังคำไหน ก็ไม่พ้นไปจากธรรม เช่น สติ ปัญญา เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ
-ไม่มีแม้แต่ขณะเดียวที่ธรรมเกิดขึ้นแล้วจะไม่ทำกิจหน้าที่
-ลืมอะไรหรือเปล่า? ลืมว่าขณะนี้ เป็นธรรม ถ้าไม่เตือน ก็ไม่รู้
-อกุศลเจตสิกประการต่างๆ ไม่ได้เกิดที่อื่น แต่เกิดกับจิต ทำให้จิต เป็นอกุศล
-หนทางที่จะทำให้รู้ความจริง ยาก ลึกซึ้ง แต่ถ้ามีความอดทน วันหนึ่งก็ต้องถึง
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
คำจริงครบถ้วนไพเราะอย่างยิ่ง
กราบอนุโมทนาครับ
ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ฟังธัมมาท่านให้ ไม่หยุด คงมั่นอันประดุจ เพชรได้ พึงขอกราบในพุทธ ปีติ นั่นแล นบอาจารย์สุจินต์ไว้ ยกเกล้าตลอดมา
กราบเท้าท่านอาจารย์ในความเมตตาอย่างสูงยิ่งค่ะ
ทุกชาติเป็นอย่างนี้ คือ มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป แล้วจะรู้หรือไม่รู้ ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคล
ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลวิริยะของอ.คำปั่นค่ะ