[คำที่ ๔o๑] อหิริกธมฺม
โดย Sudhipong.U  2 พ.ค. 2562
หัวข้อหมายเลข 32521

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อหิริกธมฺม”

คำว่า อหิริกธมฺม เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - หิ - ริ - กะ – ดำ – มะ] มาจากคำว่า อหิริก (ความไม่ละอายต่อบาป) กับคำว่า ธมฺม (สิ่งที่มีจริง,ธรรม) รวมกันเป็น อหิริกธมฺมเขียนเป็นไทยได้ว่า อหิริกธรรม แปลว่า ธรรม คือ ความไม่ละอายต่อบาป เป็นสภาพธรรมที่มีจริงประการหนึ่ง ที่เป็นอกุศลเจตสิก ที่มีคำว่า ธรรม ด้วย ก็เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง อหิริกะ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ละอายต่อบาปอกุศล เป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท

ข้อความในพระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ แสดงความเป็นจริงของธรรม คือ อหิริกะ ไว้ดังนี้ ว่า

“อหิริกะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?

กิริยาที่ไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าละอาย กิริยาที่ไม่ละอายต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อหิริกะ มีในสมัยนั้น”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงและมีจริงในชีวิตประจำวัน เพราะมีแต่ธรรมเท่านั้น ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แม้แต่ธรรมฝ่ายที่เป็นอกุศล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้มาก มีบทแห่งธรรมมากมายที่พระองค์ทรงแสดงถึงธรรมที่เป็นอกุศล รวมถึงโทษของอกุศล และ มีบทแห่งธรรมมากมายที่พระองค์ทรงแสดง ให้รู้อกุศล ตรงตามความเป็นจริง และ อกุศล เป็นสิ่งที่ควรละ

ตามความเป็นจริงแล้ว ชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปมาก เกิดมากกว่ากุศลจิตอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะสะสมอกุศลมาอย่างมากและสะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นไป และถ้ายังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอกุศล ก็ไม่สามารถที่จะละอายต่ออกุศลได้ กล่าวได้ว่า ที่ไม่ละอายเพราะไม่รู้ว่าสภาพธรรมใดเป็นอกุศล นั่นเอง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมด จึงเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด

สำหรับลักษณะของ อหิริกะ คือ ความไม่ละอายต่ออกุศล นั้น มีการไม่เกลียดกายทุจริต เป็นต้น เป็นลักษณะ หรือมีความไม่ละอายกายทุจริต เป็นต้น เป็นลักษณะ อย่างเช่น เวลาโลภะเกิด ไม่เคยละอายเลยที่จะมีโลภะ แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงว่าโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่ไม่สะอาด แต่ทุกคนก็พอใจที่จะมีโลภะต่อไป เพราะไม่ละอายหรือไม่เกลียดอกุศลธรรม และทำอย่างไรถึงจะเห็นได้และพอที่จะละอายได้ หรือว่ายังคงจะไม่ละอายไปเรื่อยๆ ไม่ว่าโลภะจะเกิดทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจมากมายสักเท่าเท่าใด

ชีวิตประจำวัน แต่ละคนมีโลภะ แต่ว่าโลภะ นั้น ถึงขั้นที่ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ หรือไม่ นี่ก็แสดงระดับขั้นที่ต่างกัน ไม่ละอายต่อโลภะขั้นที่ยังไม่ได้ทำทุจริตกรรม แต่ถ้ามีทุจริตกรรม เกิดขึ้นขณะใด ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าขณะนั้นไม่มีความละอายในทุจริตกรรมขั้นนั้นแล้ว ทุจริตกรรมขั้นนั้นจึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น อหิริกะ จึงมีการไม่เกลียดกายทุจริต เป็นต้น เป็นลักษณะ หรือมีความไม่ละอายกายทุจริต เป็นต้น เป็นลักษณะ มีการกระทำบาป เป็นกิจหน้าที่ ที่มีการกระทำบาป ก็เพราะมีความไม่ละอาย เพราะถ้ามีความละอายแล้ว จะไม่ทำบาปเลย

จะเห็นได้ว่า การกระทำของแต่ละบุคคล ทางกาย ทางวาจา แม้ทางใจ ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงอหิริกะ ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ละอายต่อบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงในขณะนั้นๆ ไม่หลอกตัวเอง การศึกษาพระธรรมจะทำให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน บางครั้งกุศลธรรมก็เกิด บางครั้งอกุศลธรรมก็เกิด แล้วแต่ว่าจะมีปัจจัยที่จะทำให้ธรรมฝ่ายใดเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เพราะเหตุว่าแม้จะรู้ว่าเป็นอกุศลธรรม แต่ปัญญาไม่มีกำลังพอที่จะละคลายอกุศลธรรมขั้นนั้นๆ ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาให้ยิ่งขึ้นต่อไป

พระธรรม แสดงให้เห็นสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ลักษณะของความไม่ละอาย มีตั้งแต่ขั้นละเอียดซึ่งเห็นยาก เวลาที่เกิดกับอกุศลจิตในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าขาดการพิจารณาย่อมจะไม่เห็นลักษณะของความไม่ละอาย แต่ถ้าเป็นกรรมใหญ่ที่หนักหรือมองเห็นชัด เช่นทุจริตกรรม จึงจะสามารถเห็นความไม่ละอายได้ว่า คนที่มีความไม่ละอาย ที่ชื่อว่า จะไม่กระทำอกุศลอะไรๆ หามีไม่ เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดสำหรับแต่ละท่านเองที่จะพิจารณาตัวเองจริงๆ แม้ในเรื่องของความไม่ละอายด้วย ขณะนี้มีไหม ข้อสำคัญที่สุด ขณะที่เป็นกุศล ไม่มีซึ่งความไม่ละอาย แต่ขณะใดที่อกุศลเกิด ขณะนั้นแสดงว่าไม่ละอายแล้วจึงเป็นอกุศล ขณะใดก็ตามที่อกุศลจิตระดับใดก็ตามเกิดขึ้น ให้ทราบว่าในขณะนั้นมีความไม่ละอายในอกุศลขั้นนั้นๆ อกุศลขั้นนั้น จึงเกิดได้ ต่อเมื่อใดอบรมเจริญปัญญาสามารถที่จะเห็นอกุศลเป็นอกุศลที่น่ารังเกียจและน่าละอาย เมื่อนั้น จึงจะค่อยๆ ละคลายได้ด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น จึงไม่ควรประมาทต่ออหิริกธรรมเลย เพราะเหตุว่าถ้ามีความไม่ละอาย แล้ว ไม่เห็นว่าเป็นอกุศล ความไม่ละอายก็จะเพิ่มกำลังขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมได้ เป็นโทษกับตนเองโดยส่วนเดียวเท่านั้น

ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย เป็นชีวิตจริงๆ ในแต่ละขณะ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้นที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา ได้มีการกล่อมเกลาจิตใจให้น้อมไปในทางที่ถูกที่ควร ละเว้นจากสิ่งที่ไม่ดี ละอายต่อบาปอกุศลในชีวิตประจำวัน ก็จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายความไม่ละอายต่อบาปไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะสามารถดับอกุศลทั้งหลายได้ตามลำดับขั้น ซึ่งจะต้องตั้งต้นที่ละอายต่อความไม่รู้ ทำให้มีการฟังมีการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ย่อมเกื้อกูลได้ในทุกระดับขั้น ไม่มีโทษใดๆ เลยสำหรับปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก มีแต่จะนำไปในกิจทั้งปวงที่ดีงามโดยตลอด เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 17 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ