ธรรมของพระพุทธองค์มีลักษณะเป็นไปเพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย สละ ละ คลายจากธรรมทั้งหลาย
การสละ ละ คลาย ในขั้นต้น จากสิ่งของ เงินทอง วัตถุกามต่างๆ คือทาน
สละ ละ คลาย ขั้นกลาง จากเวทนา สัญญา สังขารขันธ์ คือศีล
สละ ละ คลาย ขั้นสูง จากความยึดถือตัวตนว่าเป็นอัตตา คือภาวนา
ทั้งหมดนี้สามารถละคลายได้ตามลำดับขั้นตามความเพิ่มพูนขึ้นของปัญญา (ความเห็นถูก)
ความเข้าใจต่อธรรมดังกล่าวข้างต้น ถูกต้องหรือไม่ ขอผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สละละคลายกิเลส ด้วยปัญญาความเข้าใจถูก ในขั้นการฟัง คือ ค่อยๆ รู้ขึ้น ทาน ยังไม่สามารถละความติดข้องในสิ่งต่างๆ ได้จริง เพียงชั่วขณะ การละกิเลสอันดับแรก คือ ละความเห็นผิดว่าเป็นเราเป็นสัตว์ บุคคล ไม่ใช่การละ เวทนา สัญญา สังขาร แต่ ละกิเลสเป็นไปตามลำดับด้วยปัญญาความเข้าใจถูกเริ่มจากการเข้าใจขั้นการฟังว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จนปัญญาเกิดรู้ความจริงก็ค่อยๆ ละความไม่รู้และความเห็นผิด จนละกิเลสไปตามลำดับครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำที่พระองค์ตรัสนั้น เป็นไปเพื่อปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ปัญญานี้เอง ขัดเกลาละคลายความไม่รู้ ความเห็นผิดและกิเลสทั้งหลาย
จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาละคลายความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่ด้วยความหวังความต้องการ หรือ ด้วยความเป็นตัวตนที่ไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นกิจของปัญญาที่ทำกิจหน้าที่ จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถละความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณในความกรุณาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
หนทางเดียวที่จะสละกิเลส สละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ก็ต้องอบรมเจริญสติปัฏฐานค่ะ