[เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 295
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ปารายนวรรค
ภัทราวุธมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๒
ว่าด้วยปัญหาของท่านภัทราวุธะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 67]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 295
ภัทราวุธมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๒
ว่าด้วยปัญหาของท่านภัทราวุธะ
[๔๑๓] (ท่านภัทราวุธะทูลถามว่า)
ข้าพระองค์ขออาราธนาพระองค์ผู้ละความอาลัย ตัดตัณหาเสียได้ ไม่มีความหวั่นไหว ละความเพลินเสีย ข้ามโอฆะแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ละความดำริ มีปัญญาดี ชนทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ ผู้เป็นนาคแล้ว จักหลีกไปแต่ที่นี้.
[๔๑๔] คำว่า ผู้ละความอาลัย ในอุเทศว่า โอกญฺชหํ ตณฺหจฺฉิทํ อเนชํ ดังนี้ ความว่า ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความทะยานอยาก ความเข้าไปยึดถือด้วยตัณหา ทิฏฐิและอุปาทาน อันเป็นที่ตั้งเป็นที่ผูกพันและเป็นอนุสัยแห่งใจในรูปธาตุ กิเลสชาติมีความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วทรงละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทรงทำไม่ให้มีที่ตั้ง ดังตาลยอดด้วน ทรงให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า ผู้ละความอาลัย ความพอใจ ความกำหนัด... ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ กิเลสชาติมีความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทรงทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า ผู้ละความอาลัย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 296
รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในคำว่า ตณฺหจฺฉิทํ ดังนี้ ตัณหานั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงตัดแล้ว ตัดขาดแล้ว ตัดขาดพร้อมแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า ทรงตัดตัณหา.
ตัณหา ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ท่านกล่าวว่า ความหวั่นไหว ในคำว่า ผู้ไม่มีความหวั่นไหว ตัณหาอันเป็นความหวั่นไหวนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทรงทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า ผู้ไม่มีความหวั่นไหว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ชื่อว่าผู้ไม่มีความหวั่นไหว เพราะพระองค์ทรงละความหวั่นไหวเสียแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่สะทกสะท้าน ไม่ทรงหวั่น ไม่ทรงไหว ไม่พรั่น ไม่พรึง แม้ในเพราะลาภ แม้ในเพราะความเสื่อมลาภ แม้ในเพราะยศ แม้ในเพราะความเสื่อมยศ แม้ในเพราะความสรรเสริญ แม้ในเพราะความนินทา แม้ในเพราะสุข แม้ในเพราะทุกข์ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วจึงชื่อว่า ไม่มีความหวั่นไหว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระองค์ผู้ละความอาลัย ตัดตัณหาเสียได้ ไม่มีความหวั่นไหว.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา ภทฺราวุโธ ดังนี้ เป็นบทสนธิ ฯลฯ คำว่า อิติ นี้ เป็นไปตามลำดับบท.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 297
คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ.
คำว่า อายสฺมา นี้ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพและความยำเกรง.
คำว่า ภทฺราวุโธ เป็นชื่อ ฯลฯ เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านภัทราวุธะทูลถามว่า.
[๔๑๕] ตัณหา ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ท่านกล่าวว่า ความเพลิน ในอุเทศว่า นนฺทิญฺชหํ โอฆติณฺณํ วิมุตฺตํ ดังนี้ ตัณหาอันเป็นความเพลินนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทรงทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วจึงชื่อว่า ผู้ละความเพลินเสีย.
คำว่า ข้ามโอฆะแล้ว ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงข้ามแล้วซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ ทรงข้ามแล้ว คือ ทรงข้ามขึ้นแล้ว ทรงข้ามพ้นแล้ว ทรงก้าวล่วงแล้ว ทรงล่วงเลยไปแล้วซึ่งคลองแห่งสงสารทั้งปวง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อันพระองค์อยู่จบแล้ว มีจรณะทรงประพฤติแล้ว ฯลฯ มิได้มีสงสารคือชาติ ชรา และมรณะ ไม่มีภพใหม่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทรงละความเพลินเสีย ทรงข้ามโอฆะแล้ว.
คำว่า พ้นวิเศษแล้ว คือ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระทัยพ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้ว พ้นวิเศษดีแล้ว จากราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ฯลฯ อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทรงละความเพลินเสีย ทรงข้ามโอฆะแล้ว พ้นวิเศษแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 298
[๔๑๖] ความดำริ ในคำว่า กปฺป ในอุเทศว่า กปฺปญฺชหํ อภิยาเจ สุเมธํ ดังนี้ มี ๒ อย่าง คือ ความดำริด้วยอำนาจตัณหา ๑ ความดำริด้วยอำนาจทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้เป็นความดำริด้วยอำนาจตัณหา ฯลฯ นี้เป็นความดำริด้วยอำนาจทิฏฐิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงละความดำริด้วยอำนาจตัณหา ทรงสละคืนความดำริด้วยอำนาจทิฏฐิแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ชื่อว่าทรงละความดำริ เพราะพระองค์ทรงละความดำริด้วยอำนาจตัณหา เพราะพระองค์ทรงสละคืนความดำริด้วยอำนาจทิฏฐิ.
คำว่า ขออาราธนา คือ ทูลอาราธนา ทูลเชื้อเชิญ ทูลยินดี ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ (คำของพระองค์).
ปัญญา ความรู้ กิริยาที่รู้ ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ท่านกล่าวว่า เมธา ในคำว่า สุเมธํ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยปัญญาชื่อเมธานี้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่ามีปัญญาดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ขออาราธนา... ละความดำริ มีปัญญาดี.
[๔๑๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า เป็นนาค ในคำว่า นาคสฺส ในอุเทศว่า สุตฺวาน นาคสฺส อปนมิสฺสนฺติ อิโต ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงกระทำความชั่ว เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค ไม่เสด็จไปสู่ความชั่ว เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค ไม่เสด็จมาสู่ความชั่ว เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 299
ว่า นาค ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จมาสู่ความชั่วอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า นาค.
ข้อว่า ชนทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้เป็นนาคแล้ว จักหลีกไปแต่ที่นี้ ความว่า ชนเป็นอันมาก ได้ยิน ได้ฟัง ศึกษา ทรงจำ เข้าไปกำหนดแล้ว ซึ่งพระดำรัส คือ พระดำรัสที่เป็นทางเทศนา อนุสนธิ ของพระองค์แล้ว จักหลีก จักเลี่ยงไปแต่ที่นี้ คือ จักไปสู่ทิศใหญ่และทิศน้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้เป็นนาคแล้ว จักหลีกไปแต่ที่นี้ เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าพระองค์ขออาราธนาพระองค์ผู้ละความอาลัย ตัดตัณหาเสียได้ ไม่มีความหวั่นไหว ละความเพลินเสีย ข้ามโอฆะแล้ว พ้นวิเศษแล้ว ละความดำริ มีปัญญาดี ชนทั้งหลายได้ฟังคำของพระองค์ผู้เป็นนาคแล้ว จักหลีกไปแต่ที่นี้.
[๔๑๘] ข้าแต่พระองค์ผู้กล้า ชนต่างๆ มาแต่ชนบททั้งหลาย ประชุมกันแล้ว หวังอยู่ซึ่งพระดำรัสของพระองค์ ขอพระองค์ทรงพยากรณ์ด้วยดีแก่ชนเหล่านั้น เพราะว่า ธรรมนั้นพระองค์ทรงทราบแล้วอย่างแท้จริง.
[๔๑๙] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา และมนุษย์ ชื่อว่า ชนต่างๆ ในอุเทศว่า นานาชนา ชนปเทหิ สงฺคตา ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 300
คำว่า มาแต่ชนบททั้งหลายประชุมกันแล้ว คือ มาแต่อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตียะ สาคระ (๑) ปัญจาละ อวันตี โยนะ และกัมโพชะ.
คำว่า ประชุมกันแล้ว คือ ถึงพร้อม มาพร้อม มาร่วมประชุมกันแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนต่างๆ มาแต่ชนบททั้งหลาย ประชุมกันแล้ว.
[๔๒๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้กล้า จึงชื่อว่า วีระ ในอุเทศว่า ตว วีร วากฺยํ อภิกงฺขมานา ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีความเพียร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วีระ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้องอาจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วีระ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ผู้อื่นมีความเพียร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วีระ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สามารถ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วีระ. พระผู้มีพระภาคเจ้าปราศจากความเป็นผู้มีขนลุกขนพอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วีระ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเว้นแล้วจากบาปธรรมทั้งปวงในโลกนี้ ล่วงเสียแล้วซึ่งทุกข์ในนรก ทรงอยู่ด้วยความเพียร พระองค์ทรงมีวิริยะ มีปธาน ทรงแกล้วกล้า เป็นผู้คงที่ ท่านกล่าวว่า มีพระหฤทัยเป็นอย่างนั้น.
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้กล้า... ของพระองค์.
คำว่า หวังอยู่ซึ่งพระดำรัส ความว่า พระดำรัส ทางแห่งพระดำรัส เทศนา อนุสนธิ ของพระองค์.
คำว่า หวังอยู่ คือ มุ่ง หวัง ปรารถนา ยินดี ประสงค์
(๑) ม. กุรุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 301
รักใคร่ ชอบใจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้กล้า หวังอยู่ซึ่งพระดำรัสของพระองค์.
[๔๒๑] คำว่า เตสํ ในอุเทศว่า เตสํ ตุวํ สาธุ วิยากโรหิ ดังนี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา มนุษย์ เหล่านั้น พราหมณ์นั้นย่อมทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตุวํ.
คำว่า ขอพระองค์ทรงพยากรณ์ด้วยดี คือ ขอพระองค์ตรัสบอก... ขอทรงประกาศด้วยดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอพระองค์ทรงพยากรณ์ด้วยดี.
[๔๒๒] คำว่า เพราะว่าธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้วอย่างแท้จริง ความว่า เพราะว่าธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบ ทรงรู้ ทรงเทียบเคียง ทรงพิจารณา เจริญ ให้แจ่มแจ้งแล้ว อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เพราะว่า ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้วอย่างแท้จริง เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้กล้า ชนต่างๆ มาแต่ชนบททั้งหลาย ประชุมกันแล้ว หวังอยู่ซึ่งพระดำรัสของพระองค์ ขอพระองค์ทรงพยากรณ์ด้วยดีแก่ชนเหล่านั้น เพราะว่า ธรรมนั้นอันพระองค์ทรงทราบแล้วอย่างแท้จริง.
[๔๒๓] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนภัทราวุธะ)
หมู่สัตว์พึงนำเสียซึ่งตัณหาเครื่องยึดถือทั้งหมด ทั้งเบื้องบน ทั้งเบื้องต่ำ หรือแม้ชั้นกลางส่วนกว้าง เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเข้าไปถือรูปาทิขันธ์ใดๆ ในโลก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 302
มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือกรรมนั้นนั่นแล.
[๔๒๔] ตัณหาในรูป ตรัสว่า ตัณหาเครื่องยึดถือ ในอุเทศว่า อาทานตณฺหํ วินเยถ สพฺพํ ดังนี้.
เหตุไร ตัณหาในรูปจึงตรัสว่า ตัณหาเครื่องยึดถือ เพราะตัณหานั้น สัตว์ทั้งหลายจึงยึดถือ เข้าไปยึดถือ ยึดไว้ จับต้อง ถือมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ เพราะเหตุนั้น ตัณหาในรูปจึงตรัสว่า ตัณหาเครื่องยึดถือ.
คำว่า พึงนำเสียซึ่งตัณหาเครื่องยึดถือทั้งหมด ความว่า พึงนำเสีย ปราบเสีย ละเสีย บรรเทาเสีย พึงทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งตัณหา เครื่องยึดถือทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงนำเสียซึ่งตัณหาเครื่องยึดถือทั้งหมด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า ภัทราวุธะ ในอุเทศว่า ภทฺราวุธาติ ภควา ดังนี้.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯลฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบดังนี้ว่า ดูก่อนภัทราวุธะ.
[๔๒๕] อนาคต ตรัสว่า เบื้องบน ในอุเทศว่า อุทฺธํ อโธ ติริยํ วาปิ มชฺเฌ ดังนี้ อดีต ตรัสว่า เบื้องต่ำ ปัจจุบัน ตรัสว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. กุศลธรรม ตรัสว่า เบื้องบน อกุศลธรรม ตรัสว่า เบื้องต่ำ อัพยากตธรรม ตรัสว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. เทวโลก ตรัสว่า เบื้องบน อบายโลก ตรัสว่า เบื้องต่ำ มนุษยโลก ตรัสว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 303
สุขเวทนา ตรัสว่า เบื้องบน ทุกขเวทนา ตรัสว่า เบื้องต่ำ อทุกขมสุขเวทนา ตรัสว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. อรูปธาตุ ตรัสว่า เบื้องบน กามธาตุ ตรัสว่า เบื้องต่ำ รูปธาตุ ตรัสว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป ตรัสว่า เบื้องบน เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมา ตรัสว่า เบื้องต่ำ ท่ามกลาง ตรัสว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ หรือแม้ชั้นกลางส่วนกว้าง.
[๔๒๖] คำว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้าไปยึดถือรูปาทิขันธ์ใดๆ ในโลก ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมยึดถือ คือ เข้าไปยึดถือ ถือไว้ จับต้อง ถือมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใดๆ.
คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก ฯลฯ อายตนโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้าไปยึดถือรูปาทิขันธ์ใดๆ ในโลก.
[๔๒๗] คำว่า มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือ กรรมนั้นนั่นแล ความว่า ขันธมาร ธาตุมาร อายตนมาร คติมาร อุปบัติมาร ปฏิสนธิมาร ภวมาร สังสารมาร วัฏฏมาร อันมีในปฏิสนธิ ย่อมไปตาม คือตามไป เป็นผู้ติดตามไป ด้วยอำนาจอภิสังขารคือกรรมนั้นนั่นแล.
คำว่า ชนฺตุํ คือ สัตว์ นระ มาณพ บุรุษ บุคคล ชีวชน ชาตุชน ชันตุชน อินทคูชน ผู้เกิดจากพระมนู เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขารคือกรรมนั้นนั่นแล เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
หมู่สัตว์พึงนําเสียซึ่งตัณหาเครื่องยึดถือทั้งหมด ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ หรือแม้ชั้นกลางส่วนกว้าง เพราะว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 304
สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้าไปถือรูปาทิขันธ์ใดๆ ในโลก มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขารคือกรรมนั้นนั่นแล.
[๔๒๘] เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ เมื่อเห็นซึ่งหมู่สัตว์นี้ ผู้ข้องอยู่ในบ่วงแห่งมัจจุว่า เป็นผู้ติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ พึงเป็นผู้มีสติไม่เข้าไปยึดถืออะไรๆ ในโลกทั้งปวง.
[๔๒๙] คำว่า เพราะเหตุนั้น... เมื่อรู้อยู่... ไม่พึงเข้าไปยึดถือ ความว่า เพราะเหตุนั้น คือ เพราะการณะนั้น เพราะเหตุนั้น เพราะปัจจัยนั้น เพราะนิทานนั้น ภิกษุเมื่อเห็นโทษนี้ในตัณหาเครื่องยึดถือ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เพราะเหตุนั้น.
คำว่า รู้อยู่ คือ รู้ รู้ชัด รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ แทงตลอด เมื่อรู้ รู้ชัด รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ แทงตลอดว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
คำว่า ไม่พึงเข้าไปยึดถือ คือ ไม่พึงยึดถือ ไม่พึงเข้าไปยึดถือ ไม่พึงถือไว้ ไม่พึงจับต้อง ไม่พึงถือมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เพราะเหตุนั้น... เมื่อรู้อยู่ ไม่พึงเข้าไปยึดถือ.
[๔๓๐] ภิกษุผู้เป็นกัลยาณปุถุชนก็ดี ภิกษุผู้เป็นพระเสขะก็ดี ชื่อว่า ภิกษุ ในอุเทศว่า ภิกฺขุ สโต กิญฺจนํ สพฺพโลเก ดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 305
คำว่า เป็นผู้มีสติ ความว่า มีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ มีสติเจริญสติปัฏฐานเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯลฯ ภิกษุนั้นตรัสว่า มีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ... เป็นผู้มีสติ.
คำว่า อะไรๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อะไรๆ
คำว่า ในโลกทั้งปวง คือ ในอบายโลกทั้งปวง ในเทวโลกทั้งปวง ในมนุษยโลกทั้งปวง ในขันธโลกทั้งปวง ในอายตนโลกทั้งปวง ในธาตุโลกทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ... เป็นผู้มีสติ... อะไรๆ ในโลกทั้งปวง.
[๔๓๑] คำว่า ... เมื่อเห็น... ว่าติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ ความว่า สัตว์เหล่าใดย่อมยึดถือ เข้าไปยึดถือ ถือไว้ จับต้อง ถือมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ สัตว์เหล่านั้นตรัสว่า ติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ.
คำว่า อิติ เป็นบทสนธิ ฯลฯ คำว่า อิติ นี้ เป็นไปตามลำดับบท.
คำว่า เมื่อเห็น คือ เมื่อพบ เมื่อแลเห็น เมื่อตรวจดู เมื่อเพ่งดู เมื่อพิจารณาอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า... เมื่อเห็น... ว่าติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ.
[๔๓๒] คำว่า ปชํ เป็นชื่อของสัตว์ ในอุเทศว่า ปชํ อิมํ มจฺจุเธยฺเย วิสตฺตํ ดังนี้.
กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี ตรัสว่า บ่วงแห่งมัจจุ ในคำว่า มจฺจุเธยฺเย หมู่สัตว์ข้อง เกี่ยวข้อง เกาะเกี่ยว พัวพัน ในบ่วงแห่งมัจจุ คือในบ่วงแห่งมาร ในบ่วงแห่งมรณะ สิ่งของข้องเกี่ยวอยู่ เกี่ยวเกาะพันอยู่ที่ตาปูติดฝา หรือที่ไม้นาคทัณฑ์ (ท่อนไม้โอนเหมือนงาช้าง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 306
ฉันใด หมู่สัตว์ข้อง เกี่ยวข้อง เกาะเกี่ยว พัวพัน ในบ่วงแห่งมัจจุ คือในบ่วงแห่งมาร ในบ่วงแห่งมรณะ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า... หมู่สัตว์นี้ข้องอยู่ในบ่วงมัจจุ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ เมื่อเห็นซึ่งหมู่สัตว์นี้ ผู้ข้องอยู่ในบ่วงแห่งมัจจุว่า เป็นผู้ติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ พึงเป็นผู้มีสติไม่เข้าไปยึดถืออะไรๆ ในโลกทั้งปวง.
พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ฉะนี้แล.
จบภัทราวุธมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๒
อรรถกถาภัทราวุธมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๒
พึงทราบวินิจฉัยในภัทราวุธสูตรที่ ๑๒ ดังต่อไปนี้.
บทว่า โอกญฺชหํ คือ ละความอาลัย.
บทว่า ตณฺหจฺฉิทํ คือ ตัดหมู่ตัณหาเสียได้.
บทว่า อเนชํ ไม่มีความหวั่นไหว คือ ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม.
บทว่า นนฺทิญฺชหํ ละความเพลิน คือ ละความปรารถนารูป มีรูปในอนาคตเป็นต้น.
จริงอยู่ ตัณหาอย่างเดียวเท่านั้นท่านกล่าวไว้ในที่นี้โดยประการต่างๆ ด้วยอำนาจแห่งความชื่นชอบ.
บทว่า กปฺปญฺชหํ คือ ละความดำริ ๒ อย่าง.
บทว่า อภิยาเจ คือ ข้าพระองค์วิงวอนเป็นอย่างยิ่ง.
บทว่า สุตฺวาน นาคสฺส อปนมิสฺสนฺติ อิโต ชน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 307
ทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระผู้เป็นนาคแล้ว จักหลีกไปแต่ที่นี้ อธิบายว่า ชนเป็นอันมากได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้เป็นนาคผู้มีพระภาคเจ้า จักหลีกไปจากปาสาณกเจดีย์นี้.
บทว่า เย อุปายุปาทานา คือ ความเข้าไปยึดถือด้วยตัณหาและทิฏฐิ.
บทว่า เจตโส อธิฏฺานา คือ ตั้งไว้ในใจ.
บทว่า อภินิเวสานุสยา เป็นที่ผูกพันและเป็นอนุสัย คือ เป็นที่ตั้งไว้แล้วมานอนเนื่องอยู่ในสันดาน.
บทว่า ชนปเทหิ สงฺคตา คือ มาแต่ชนบททั้งหลายมีอังคะเป็นต้น ประชุมกันในที่นี้.
บทว่า วิยากโรหิ คือ ขอพระองค์ทรงแสดงธรรม.
บทว่า สงฺคตา คือ ชนทั้งหลายมีกษัตริย์เป็นต้นมีความเป็นอันเดียวกัน.
บทว่า สมาคตา คือ มาจากชนทั้งหลาย มีประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า สโมหิตา คือ มารวมกัน.
บทว่า สนฺนิปติตา ประชุมกัน คือไม่แยกจากกัน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรมโดยอนุโลมตามอัธยาศัยของภัทราวุธมาณพนั้น จึงได้ตรัสคาถาต่อๆ ไป.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อาทานตณฺหํ ตัณหาเครื่องยึดถือ คือ ตัณหาเครื่องยึดถือ คือยึดถือรูปเป็นต้น. อธิบายว่า ยึดถือมั่นด้วยตัณหา.
บทว่า ยํ ยํ หิ โลกสฺมิํ อุปาทิยนฺติ คือ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายยึดถือบรรดาอุปาทานขันธ์เป็นต้นเหล่านั้น อุปาทานขันธ์ใดๆ ในโลก.
บทว่า เตเนว มาโร อนฺเวติ ชนฺตุํ มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอภิสังขารคือกรรมนั่นเอง คือ มารย่อมไปตามสัตว์นั้นในขณะปฏิสนธิด้วยอภิสังขาร คือกรรมอันเกิดขึ้นเพราะอุปาทานเป็นปัจจัยนั้นนั่นเอง.
บทว่า ตสฺมา ปชานํ เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ คือ เพราะเหตุนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 308
ภิกษุรู้ซึ่งโทษนั้นหรือสังขารทั้งหลาย ด้วยอำนาจความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น.
บทว่า อาทานสตฺเต อิติ เปกฺขมาโน ปชํ อิมํ มจฺจุเธยฺเย วิสตฺตํ เมื่อเห็นหมู่สัตว์นี้ผู้ข้องอยู่ในบ่วงแห่งมัจจุว่า เป็นผู้ติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ คือ เมื่อเห็นหมู่สัตว์นี้ผู้ข้องอยู่ในบ่วงแห่งมัจจุในสรรพโลกว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในรูปเป็นต้นเครื่องยึดถือ ด้วยอรรถว่า ควรยึดถือ หรือเห็นอยู่ซึ่งบุคคลผู้ข้องอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ คือการยึดมั่นถือมั่น และหมู่สัตว์ผู้ติดอยู่ในบ่วงเเห่งมาร เพื่อถือเอารูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือว่า สามารถล่วงพ้นจากบ่วงมัจจุได้ พึงเป็นผู้มีสติ ไม่เข้าไปยึดถืออะไรๆ ในโลกทั้งปวง.
บทที่เหลือในบททั้งปวงชัดดีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต และเมื่อจบเทศนา ได้มีผู้บรรลุธรรมเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในคราวก่อนนั้นแล.
จบอรรถกถาภัทราวุธมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๒