วันนี้เป็นวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลาย วันที่ผ่านมาหลายๆ ท่านก็มีความกังวลใจ และทุกข์ใจกันกับผลของการเลือกตั้ง ต่าง คนต่างก็อยากให้พรรคในดวงใจ ผู้แทนในดวงใจได้เข้ามาบริหารบ้านเมือง ข้าพเจ้า ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เป็นห่วงอนาคตของชาติบ้านเมือง คิดไปคิดมาจนเป็นทุกข์
แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่โชดดีมากๆ (จริงๆ แล้วไม่ใช่โชคอะไรหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะ บุญที่ได้เคยกระทำมาแต่ปางก่อนต่างหาก) ที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม จากการบรรยาย ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ฟังมาหลายปี เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมมาก ขึ้น ไม่ว่าจะมีเหตุการณืใดๆ เกิดขึ้น ผ่านเข้ามาในชีวิต ความทุกข์ใจ กังวลใจก็น้อยลง ได้บ้าง และเมื่อวันนี้ดูเหมือนท่านอาจารย์จะเห็นความกังวลใจของหลายๆ ท่าน ท่านมีความเมตตาอย่างมาก ท่านบรรยายให้เข้าใจธรรมที่มีจริง เกิดแล้วดับแล้ว สภาพ ธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดแล้วตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปใครจะบังคับบัญชาสภาพ ธรรมให้เกิด หรือไม่ให้เกิดตามปราถนาก็ไม่ได้ ... .
ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความเข้าใจสภาพ ธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่มีจริงที่กำลังปรากฏล้วนเกิด ขึ้นตามเหตุปัจจัย เมื่อมีความเข้าใจมั่นคงขึ้นในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่เกิด ขึ้นเป็นไปทุกๆ ขณะ ทำให้ไม่ไปยึดกับสิ่งที่เกิดแล้วหมดไปแล้ว มีประโยชน์อะไรที่จะไปทุกข์กับสิ่งที่ดับไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์ให้ธรรมเตือนใจไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องมีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย ไม่หวั่นไหว รักษาจิตให้เป็นกุศล สามารถพิจารณาในทางกุศล ถ้าไม่ได้
ฟังธรรม เข้าใจธรรมก็หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ความเข้าใจธรรมช่วยได้จริงๆ ทุกคนจะร่วมกันทำดีหรือเปล่า? การเป็นคนดีด้วยเข้าใจธรรมด้วยจึงดีที่สุด
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...
การเป็นคนดีควบคู่กับการฟังธรรม
.. ศึกษาธรรมเพื่อขัดเกลาและเป็นคนดี
กราบอนุโมทนาค่ะ อ่านแล้วโดนใจสุดๆ เลยค่ะ ทำอะไรไม่ได้ ก็ทำใจอย่างเดียว และก็ทำหน้าที่พลเมืองดี ไปเลือกตั้งค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาครับ
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องมีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย ไม่หวั่นไหว รักษาจิตให้เป็นกุศล"
ขอบคุณและขออนุโมทนาคะ
อืม ... ประชาธิปไตย หมายถึงประชาชนเป็นใหญ่ หากคนส่วนใหญ่ เขลา พาล เห็นแก่ได้ ไร้คุณธรรมล่ะ ประเทศชาติที่ปกครองด้วยผู้แทนของคนเยี่ยงนี้ ... จะเป็นอย่างไรหนอ?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้แสดงกับพุทธบริษัท เกื้อกูลแม้การดำเนินชีวิตประจำวัน ให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ไม่มีใครไปจัดการกับสิ่งใดได้ แต่ที่สำคัญ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการศึกษาพระธรรม ย่อมมองด้วยความไม่อคติ คือ เพราะรัก หรือ เพราะไม่รักในสิ่งใด แต่มองด้วยความเข้าใจว่า ธรรมเป็นธรรม กุศล เป็นกุศล อกุศลก็ ต้องเป็นอกุศลเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้
ดังนั้นจึงไม่น้อมใจไปแม้ความยินดีในสิ่งที่ไม่ดี ไม่เข้าใกล้แม้ด้วยใจ เมื่อไม่อาศัยอคติในความรัก และไม่รัก ก็จะเห็นสัจจธรรม ตามความเป็นจริงว่า อกุศล ก็ต้องเป็นอกุศล ผู้มีปัญญาจึงไม่เลือกอกุศลเลย เพราะเป็นอธรรมครับ และทุกอย่างก็ เป็นไปตามเหตุปัจจัยนับจากนี้ แต่ตัวเราเองเป็นคนดี คือ ไม่เลือกอกุศลธรรม โดยตั้ง อยู่ในความเข้าใจพระธรรมนั่นเองครับ
การแพ้ชนะ เป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องราว แต่การชนะใจของตนเองคือ เป็นกุศลเพราะไม่เลือก อกุศลธรรม นั่นประเสริฐครับ เท่ากับว่า ไม่ใกล้ อกุศลธรรมแม้ด้วยใจ นี่คือความเป็นผู้ตรง คือ ไม่อาศัยอคติเพราะ ความรักและไม่รัก แต่อาศัยความเข้าใจพระธรรม อกุศลเป็นอกุศล ไม่เข้าใกล้แม้ด้วยใจ ผู้มีปัญญาจึงไม่ควร ตัดสินใจด้วย อคติ แต่ด้วยความเป็นผู้ตรงในพระธรรม ในเมื่อเป็น อกุศลธรรมเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ควรเข้าไปใกล้แม้ด้วยใจ ยินดีและเลือกในสิ่งที่เป็น อกุศลธรรมครับ ประโยชน์ที่ได้คือความเป็นผู้ตรงที่จะไม่เลือก อกุศลธรรม ชาติต่อๆ ไป ก็จะสะสมความเป็นผู้ตรงมากขึ้น เพราะไม่เลือกตัดสินใจด้วยความรัก และไม่รัก ทีเป็น อคตินั่นเอง
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเหตุการณ์ นี้คืออะไร ความเป็นผู้ตรงมากขึ้นที่จะไม่เลือกอกุศลธรรมทั้งหมด หรือ เพียงเพราะ ความรักที่เคยสะสมมาว่าชอบสิ่งใดก็ยินดีในสิ่งนั้นและก็เป็นไปตามอกุศลธรรมเหมือน เดิมและสะสมไปในชาติต่อๆ ไปด้วยครับ การสะสมความเป็นผู้ตรงย่อมทำให้ถึงการดับ กิเลสได้ เริ่มจากความเป็นผู้ตรงในเหตุการณ์ที่มีในชีวิตประจำวันและในเหตุการณ์บ้าน เมือง จะไม่ดีมาก จะไม่ดีไม่มาก อกุศลก็ต้องเป็นอกุศล ไม่เปลี่ยนแปลง จึงไม่เลือก อกุศลธรรมเลยครับ เพราะตั้งอยู่ด้วยความเป็นผู้ตรง ไม่อคตินั่นเอง
ผิดหวังและสมหวังแน่ หากเลือกด้วยความชอบและไม่ชอบ แต่ผู้พิจารณาสัจจธรรม เมื่อเป็นอกุศลทั้งหมด จึงไม่เลือกอกุศลเลย จึงไม่ผิดหวังและสมหวังเพราะมองที่ธรรม นั่นเอง โดยไม่เลือกสิ่งที่เป็นอกุศลทั้งหมดไม่ว่าจะอกุศลจะมากหรือน้อยก็ตาม อกุศลก็ เป็นอกุศล สบายด้วยความเข้าใจพระธรรมแม้ในเหตุการณ์บ้านเมือง ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาพี่เมตตาที่นำธรรมดีๆ มาพิจารณากันครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้าที่ 709
บทว่า สาม น เสเวยฺย คือ ไม่พึงเข้าไปใกล้แม้ด้วยใจ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
... .. แต่การชนะใจของตนเองคือ เป็นกุศลเพราะไม่เลือก อกุศลธรรม นั่นประเสริฐครับ เท่ากับว่า ไม่ใกล้ อกุศลธรรมแม้ด้วยใจ ... .
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาบุญในความคิดเห็นของทุกๆ ท่านค่ะ
ขออนุโมทนาน้องเมตตาค่ะ พี่ทำใจอยู่ทั้งคืน หลับไปตื่นขึ้นมาคิดว่าจะเขียนเรื่องนี้ เหมือนกัน แต่เมตตาเขียนได้ดีมากแล้ว แต่ก็ได้ทบทวนพระธรรมที่ได้ฟังมาว่า มี ขณะที่คิดเท่านั้น ตอนหลับก็ลืมหมดว่า ใครจะแพ้จะชนะอย่างไร บ้านเมืองจะเป็น อย่างไร ในโต๊ะอาหารท่านอาจารย์ก็เน้นอีกว่า "ประเทศไทยก็ไม่ใช่ของเรา" (เพราะตนก็ไม่มี ประเทศไทยจะมีแต่ที่ไหน เป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติเท่านั้นที่เรา มาคิดวุ่นวาย) แล้วใครจะเป็นอะไร เราก็ต้องทำมาหากินเหมือนเดิม และที่สำคัญ อยากเข้าใจพระธรรม ก็ต้องฟัง ต้องศึกษาพิจารณาด้วยตนเองอยู่ดี ถ้าใครเป็น แล้วสามารถทำให้เข้าใจพระธรรมได้โดยไม่ต้องศึกษา ก็น่าจะเสียใจที่เขาไม่ได้ เป็นอย่างที่เราหวัง ใช่ไหมคะ
"อะไรจะเกิด ต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่ผู้มีปัญญาย่อมทราบว่า เกิดเพราะเหตุปัจจัย" "เพราะต้องเป็นเราที่ได้เห็น ได้ยิน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะนี้" "จะสะสมความเป็นผู้ตรง โดยไม่อคติ ไม่เข้าใกล้อกุศลแม้ด้วยใจ"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
"ผลออกมาจะเป็นอย่างไร ... เป็นไปตามเหตุปัจจัย" ดังนั้นจึงไม่ควรติดใจกับผลที่เกิดขึ้นแล้ว จนสร้างเหตุปัจจัยใหม่ๆ ที่ไม่ดีเลยครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
หลังจากนั่งคิดนอนคิดมา ๑ วันเต็ม ได้ข้อสรุปเลิกคิดคำนึงได้จากคำสอนของ ท่านอาจารย์สุจินต์ คือเมตตาเขาเสียก่อนที่เขาจะได้รับอกุศลกรรม ซึ่งขณะที่ เขาได้รับอกุศลวิบาก เราก็คงจะสงสารเขา ดังนั้นเมตตาพวกเขาเถอะ
แต่ก็ได้ทบทวนพระธรรมที่ได้ฟังมาว่า มีขณะที่คิดเท่านั้น ตอนหลับก็ลืมหมดว่า
ใครจะแพ้จะชนะอย่างไร บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
...กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง ด้วยค่ะ...
บทว่า สาม น เสเวยฺย คือ ไม่พึงเข้าไปใกล้แม้ด้วยใจ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณpaderm และ ทุกๆ ท่านค่ะ
ต้องกราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่นำพระธรรมที่องค์ สมเด็จพระอรหัตตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มาบรรยายด้วยความอดทนเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงพระธรรมจริงๆ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้นั้นก็คือสิ่งที่มีจริงที่ กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน การที่จะบรรลุธรรมได้ก็ต้องเริ่มจากการเข้าใจถูกเห็นถูก ในสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ มีเห็น ได้ยิน ... และคิดนึก เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นั้น ตามความเป็นจริงก็ไม่พ้นไปจากเห็น ได้ยิน ... แต่เพราะคิดจึงมีเรื่องราวเหตุการณ์ ต่างๆ เพราะฉะนั้นเห็น ได้ยิน ... และคิดเท่านั้นที่มีจริง
เหตุการณ์ต่างๆ ไม่มีอยู่จริง ชีวิตในวันหนึ่งๆ ไม่พ้นไปจากจิตเห็น จิตได้ยิน ... ซึ่งกำลังรับผลของกรรมอยู่ และต่อจากนั้นก็เป็นไปตามการสะสมเป็นกุศลหรืออกุศล ทุกๆ คนเมื่อมีความเข้าใจพระธรรม เพิ่มขึ้น จึงควรมีความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้เลยที่ จะต้องได้รับอารมณ์ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ต้องเห็นต้องได้ยิน ... เพื่อรับผลของกรรม แต่ เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงของชีวิตที่มีจริงว่า เป็นเพียงจิตแต่ละขณะที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก จึงยึดถือสภาพธรรมเหล่านี้ว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตัวตน สิ่งต่างๆ
เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ หากสามารถจะทำให้จิตเกิดดับสืบต่ออย่างช้าๆ จะสามารถเห็นตามความเป็นจริงของชีวิตว่า เป็นเพียงจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นเห็น ได้ยิน ... และ คิด สลับกันไป ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีเหตุการณ์ต่างๆ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ...