เช่นกำลังนั่งอยู่มีสภาพแข็งปรากฏที่ร่างกาย แล้วมีเสียงดังมากความชัดเจน ก็ไปอยู่ที่การได้ยิน การระลึกรู้เขาเปลี่ยนไปตามความชัดเจนใช่หรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุ แต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย
การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏ เป็นเรื่องของความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการได้มีโอกาสไดัฟังความจริง ที่เป็นสัจจธรรม เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่ด้วยความคิดนึก แต่ในขณะนั้นสติพร้อมด้วยปัญญา เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ไม่ใช่เฉพาะทางกาย กับ ทางหู เท่านั้น ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทางทวารอื่นๆ ก็มีด้วย มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด แต่ไม่ปรากฏด้วยดีกับสติและปัญญา
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทางทวารใด ก็ตาม สำคัญที่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกที่ได้สะสมอบรมเจริญ ไม่ใช่เป็นการเจาะจงที่จะรู้เฉพาะทวารหนึ่งทวารใด เพราะถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่พ้นไปจากความเป็นตัวตน ไม่ได้ขัดเกลาละคลายอะไรเลย จึงสำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น ซึ่งถ้ามีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สภาพธรรมเกิดปรากฏ ก็สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การระลึกรู้ เป็นกิจหน้าที่ของสติ ซึ่ง สติ เป็นธรรมและเป็นอนัตตา คือ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย ที่สำคัญ ควรเข้าใจความจริงครับว่า หากเป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ จะต้องมีปัญญาเกิดร่วมด้วย ที่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรกาฎในขณะนี้ โดยรู้ถูกในขณะนั้นด้วยว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เราเพราะมีเพียงลักษณะที่ปรกาฎเท่านั้น เพราะฉะนั้น การระลึกรู้ ด้วย สติและปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานก็เป็นอย่างหนึ่ง และ การรู้ด้วย วิญญาณจิต ที่เป็นทวิปัญจวิญญาณจิตก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อกำลังกระทบแข็ง และได้ยินเสียงดัง ก็เป็นการรู้ของ โสตวิญญาณ ที่เปลี่ยนไปตาม การได้รับวิบาก ที่เป็นหน้าที่ของ ทวิปัญจวิญญาณ แต่ ไม่ใช่ สติและปัญญาที่ทำหน้าที่ระลึกรู้ในขณะนั้น ครับ
นี่แสดงให้เห็นถึงหนทางการอบรมปัญญาว่ายากมาก ไม่ใช่เรื่องที่คิดเองว่า เป็นการระลึกแล้ว เพราะ หนทางนี้ เป็นสิ่งที่ละแอียดลึกซึ้ง ขอให้เข้าใจว่า ขณะที่ระลึก กับ ขณะที่รู้ด้วย ทวิปัญจวิญญาณนั้นต่างกัน เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจถูกขั้นการฟังอย่างนี้แล้ว ก็เข้าใจว่า เมื่อสติยังไม่เกิด ก็คือ ไม่เกิด และ ไม่หลงว่า เป็นสติทีเกิด จึงอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรมต่อไป โดยไม่มีตัวตนที่จะพยายามระลึก หรือ จะทำ แต่ หนทางที่ถูก คือ การอบรมเหตุด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม ครับ ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณท่านผู้ตอบอย่างสูงครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาคะ