ปุถุชนเป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ในชีวิตประจำวันจะมีอกุศลจิตเกิดมากกว่า
กุศลจิตจนเทียบกันไม่ได้ ทำให้โอกาสที่ปุถุชนเมื่อตายแล้วจะไปสู่อบายภูมิเป็นส่วน
มาก ที่จะตายแล้วไปสุขติภูมิเป็นส่วนน้อยจนเทียบกันไม่ได้
ส่วนพระเสขบุคคลเป็นผู้ดับกิเลสแล้วแต่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่าน
ดับอกุศลจิตที่มีกำลังที่จะทำให้ล่วงอกุศลกรรมบท อันเป็นกรรมนำให้เกิดในอบายภูมิ
ท่านจึงมีสุขติภูมิเป็นเบื้องหน้า
ขอเรียนถามครับว่า ในชีวิตประจำวันของพระเสขบุคคลนั้น ทรงแสดงไว้บ้าง
หรือไม่ครับว่า กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดขึ้นทำกิจมากกว่ากัน สำหรับ:
1. พระโสดาบันบุคคล
2. พระสกทาคามีบุคคล
3. พระอนาคามีบุคคล
เข้าใจว่าคงไม่ได้แสดงเรื่องนี้ไว้โดยละเอียด ธรรมที่ไม่ทรงแสดงเป็นเพราะ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับคำตอบที่มีประโยชน์ครับ
ธรรม.....ที่ไม่ทรงแสดงเป็นเพราะ.....ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไป.... เพื่อการหลุดพ้น.
สาธุ
พระเสขบุคคลเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในหนทาง เป็นผู้ที่ไม่ตกต่ำ โดยมากในชีวิตประจำ
ของท่านน้อมไปทางกุศล แล้วแต่อธัยาศัย บางท่านก็ออกบวช บางท่านก็เป็นคฤหัสถ์
เราไม่สามารถทราบว่ามากน้อยแค่ไหน เพราะจิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว ประโยชน์จริงๆ
คือความรู้ตัวเองว่าสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพราะอกุศลเกิดก็ไม่รู้เป็น
ปกติของปุถุชน แต่เมือศึกษาธรรมะ สติก็ระลึกได้บ้างว่าอกุศลเป็นธรรมะไม่ใช่เราค่ะ
ที่สำคัญคือขณะนี้จิตของเราเป็นจิตประเภทไหนการรู้จิตของตน จะมีประโยชน์มากกว่านะครับ..
คำตอบเป็นประโยชน์มากจริงๆ ค่ะ เพราะบางครั้งตนเองก็คิดไกลไปสิ่งที่ไม่สามารถ
รู้ได้ แต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้จิตของตนเป็นกุศลหรืออกุศลก็ไม่รู้
ขออนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ และท่านผู้ตอบกระทู้ค่ะ