ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยเศียรเกล้า ขอความกรุณาท่านผู้รู้
ช่วยให้ความเข้าใจว่า ทำไมทางที่จะรับผลของกรรมจึงมีเพียง 5 ทาง คือ ทางตา หู จมูก
ลิ้น กาย ทำไมใจไม่ใช่ครับ ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เมื่อกล่าวถึงผลของกรรมมีทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม แต่เมื่อกล่าวถึงในชีวิต
ประจำวันแล้ว ทางที่จะได้รับผลของกรรมคือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าใจครับว่า
มีอาตยนะภายใน 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ และก็มีการกระทำที่เป็นกุศลที่เป็น
อกุศลกรรม ธรรมเหล่านี้เป็นเหตุ คือเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผล และเมื่อมีเหตุก็ต้องมี
ผลของเหตุนั้นคือผลของกรรมที่เป็นวิบากที่เป็นจิต เจตสิก และผลของกรรมที่เกิด
จากเหตุ เช่น รูป (เมื่อเกิดมาก็มีรูปอันเป็นผลของกรรม) สรุปคือเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล
เหตุคือกุศลกรรมและอกุศลกรรมจะเกิดขึ้นก็ต้องไม่พ้นไปจากอายตนะภายในทั้ง 6 คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่เป็นเหตุจะเกิดทางตาได้ แต่ไม่
ใช่ขณะที่เห็นแต่ต้องเป็นขณะที่เป็นชวนจิต เกิดทางหูก็ได้......แต่ต้องเป็นขณะที่เป็น
ชวนจิตไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ส่วนทางใจก็สามารถเกิดขึ้นเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้ อันนี้
กล่าวถึงประเด็นในเรื่องของเหตุครับ
ประเด็นต่อมากล่าวถึงเรื่องผลของกรรมที่เป็นวิบากที่เป็น จิต เจตสิก วิบากจะเกิด
ขึ้นก็ต้องเกิดไม่พ้นจาก 6 ทางนี้คือทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ดังนั้นคำถามที่ว่า
ทำไมทางที่จะได้รับผลของกรรมจึงมี 5 ทาง ขอกล่าวตรงนี้ครับว่าเพราะอายตนะภาย
ในมี 6 เท่านั้นไม่มีนอกจากนี้ การได้รับผลของกรรมจึงต้องใน 6 ทางนี้เท่านั้น ซึ่งเมื่อ
กล่าวถึงวิบากที่เกิดขึ้น 5 ทางคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย วิบากคือขณะที่เห็น ได้ยิน ได้
กลิ่น ขณะที่รู้รส จะต้องเกิดทางปัญจทวารคือทางตา หู จมูก ลิ้น กายเท่านั้นอันเป็น
ผลของกรรม
ส่วนทางใจนั้นจะเกิดจักขุวิญญาณการเห็นไมไ่ด้ ทางใจเพียงรู้อารมณ์ต่อจากการ
เห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นผลของกรรมที่เป็นวิบากที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ที่เป็นการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัสเกิดทางปัญจทวาร
ไม่ไ่ด้เกิดทางใจเพราะต้องอาศัย ตา (จักขุปสาทรูป) อาศัยหู อาศัยจมูก อาศัยลิ้น
อาศัยกายปสาทรูปเกิดจิตที่เป็นวิบากที่เป็นผลของกรรม มีการเห็น เป็นต้นครับ
ส่วนทางใจ ถามว่ามีวิบากจิตที่เป็นผลของกรรมเกิดขึ้นไหม มีครับ คือ ตทาลัมพนจิต
เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้ม
รส การรู้กระทบสัมผัส ซึ่งต้องเกิดทางปัญจทวารเท่านั้นครับ เพราะต้องอาศัย
รูปเกิดคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็นรูปครับ แต่ทางมโนทวารไม่มีรูปเหล่านี้ที่จะอาศัยให้
เกิดขึ้น เป็นทางให้จิตเกิดครับ
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวาร และทางมโนทวารก็มีทั้งผลของกรรมที่เป็นวิบาก
จิตเกิดขึ้น ทางปัญจทวารก็มี ทวิปัญจวิญญาณจิต สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต
เป็นวิบากจิต ส่วนทางมโนทวารก็มีตทาลัมพนจิต เป็นผลของกรรม ที่เป็นวิบากด้วย
แต่สำหรับประด็นที่ถามเป็นอันเข้าใจว่าเรากล่าวถึงผลของกรรมที่เกิดขึ้นในขณะที่
เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสและรู้กระทบสัมผัสจะไม่เกิดขึ้นทางใจเพราะต้องอาศัยรูป
คือจักขุปสาทรูป เป็นต้นทางปัญจทวารครับ ดังนั้นจักขุวิญญาณจิตจึงไม่เกิดทางใจ
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ต้องเข้าใจก่อนว่า วิบากคืออะำไร วิบากเป็นนามธรรม คือจิต และเจตสิก ที่เกิดขึ้น
เพราะกรรมเป็นปัจจัย จริงๆ แล้ววิบากจิตเกิดได้ทั้ง 6 ทวาร และเกิดโดยไม่ต้อง
อาศัยทวารก็ได้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เป็นวิบากทั้ง 5 ที่เกิด
ทางตา ทางหู เป็นต้น ส่วนวิบากทางใจคือ ตทาลัมพนะ 2 ขณะ ส่วนวิบากที่ไม่
ต้องอาศัยทวารคือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และ จุติจิต ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตราบใดที่ยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ นั่นหมายความว่าต้องมีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป มีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ดังกล่าวนี้ ตามประเภทของจิตนั้นๆ กล่าวคือ เกิดขึ้นเป็นกุศล เป็นเหตุที่ดี, เกิดขึ้นเป็นอกุศล เป็นเหตุที่ไม่ีดี,เกิดขึ้นเป็นวิบาก คือ เป็นผลของกรรม และ เกิดขึ้นเป็นกิริยา ไม่เป็นเหตุให้เกิดผลต่อไปข้างหน้า ทั้งหมดนี้ เป็นชาติของจิต จะไม่พ้นไปจากนี้เลย ซึ่งเมื่อกล่าวถึงจิตแล้ว ก็ต้องหมายรวมถึงเจตสิก ด้วย เพราะจิตทุกขณะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยสำหรับวิบากจิตแล้ว เป็นจิตที่เกิดขึ้นรับผลของกรรมโดยมีกรรมเป็นเหตุ ถ้ากรรมดีให้ผล ก็ทำให้รับผลที่ดี ถ้าอกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้ได้รับผลที่ไม่ดี วิบากจิตนี้เกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร และ บางประเภทเกิดได้โดยไม่ต้องอาศัยทวารด้วย (ตามความคิดเห็นที่ ๓) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ที่สามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวัน คือ วิบากจิตที่เกิดขึ้นรับผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมและเป็นผลของอกุศลกรรม ตามสมควรแก่เหตุคือกรรมที่แต่ละุบุคคลได้กระทำแล้ว พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเป็นเหตุเป็นผล ให้ความเข้าใจถูกเห็นถูก สำหรับผู้มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ทุกคำ ทุกพระดำรัส เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อไม่รู้ ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งทีจะเห็นคุณค่าของพระธรรมแต่ละคำ แม้แต่คำว่า ทางรับผลของกรรม และ การรับผลของกรรม ล้วนเป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด และ มีจริงในชีวิตประจำวันที่สามารถจะศึกษาและเข้าใจตามความเป็นจริงได้ หนทางที่จะเป็นไปเพื่อสิ้นกรรมและผลของกรรม คือ การอบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาไปตามลำดับ เมื่อเจริญขึ้นคมกล้าขึ้นไปตามลำดับ จนถึงสามารถรู้แจ้งอริย-สัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่ต้องมีการกระทำกรรม และ ไม้ต้องได้รับผลของกรรมทางทวารใดๆ อีกเลย ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขณะรับผลกรรมทางตา
ขณะนั้น มิใช่จิต ได้รับผลกรรมหรอกหรือ ....คือ วิบากจิตทางตา (จักขุวิญญาณจิต)
เพราะจิตมันมี หลายดวง หลายประเภท หลายแบบ
จิตบางดวง เกิดจากผลกรรม (วิบากจิต) แต่จิตอื่นๆ ไม่ใช่
สุข ทุกข์ ที่ใจ จึงไม่ใช่เพราะผลกรรม
สุข ทุกข์ ที่ใจ เพราะกิเลส
การดับทุกข์ ไม่ใช่ ไปดับกรรม ไปแก้กรรม แต่ต้องแก้ที่กิเลส
..............ไม่ทราบว่าที่ผมกล่าวมา........ถูกต้องหรือผิดตรงไหนบ้างครับ....
พระโมคคัลลานะ ถูกทุบตีที่กาย
กายวิญญาณ เกิดขึ้นรับรู้ ประกอบด้วยทุกขเวทนา แล้วตั้งอยู่ ดับไป
ถัดจากนั้น มโนวิญญาณ เกิดขึ้นตาม แต่ไม่มีเจตสิกพวกที่เป็นกิเลส ประกอบเลย
เวทนาที่ได้รับทางใจถัดจากนั้น จึงไม่ใช่ โทมนัสเวทนา
เพราะท่านไม่มีโทสะแล้ว โทมนัสเวทนา เกิดขึ้นไม่ได้เลย
..........................ไม่ทราบว่า ถูกต้องหรือไม่..........................
ขณะรับผลกรรมทางตา
ขณะนั้น มิใช่จิต ได้รับผลกรรมหรอกหรือ ....คือ วิบากจิตทางตา (จักขุวิญญาณจิต)
เพราะจิตมันมี หลายดวง หลายประเภท หลายแบบ
จิตบางดวง เกิดจากผลกรรม (วิบากจิต) แต่จิตอื่นๆ ไม่ใช่
สุข ทุกข์ ที่ใจ จึงไม่ใช่เพราะผลกรรม
สุข ทุกข์ ที่ใจ เพราะกิเลส
การดับทุกข์ ไม่ใช่ ไปดับกรรม ไปแก้กรรม แต่ต้องแก้ที่กิเลส
..............ไม่ทราบว่าที่ผมกล่าวมา........ถูกต้องหรือผิดตรงไหนบ้างครับ....
ถูกต้องครับ ขณะที่รับผลของกรรมทางตา ก็คือขณะที่เห็น ที่เป็นจักขุวิญญาณจิต
ส่วนการคิดหรือจิตอื่นที่สุข ทุกข์ทางใจ เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ไม่ใช่ผลของกรรม
ไม่ใช่วิบากจิตครับ
พระโมคคัลลานะ ถูกทุบตีที่กาย
กายวิญญาณ เกิดขึ้นรับรู้ ประกอบด้วยทุกขเวทนา แล้วตั้งอยู่ ดับไป
ถัดจากนั้น มโนวิญญาณ เกิดขึ้นตาม แต่ไม่มีเจตสิกพวกที่เป็นกิเลส ประกอบเลย
เวทนาที่ได้รับทางใจถัดจากนั้น จึงไม่ใช่ โทมนัสเวทนา
เพราะท่านไม่มีโทสะแล้ว โทมนัสเวทนา เกิดขึ้นไม่ได้เลย
..........................ไม่ทราบว่า ถูกต้องหรือไม่..........................
เวทนาที่เกิดขึ้นทางใจของพระอรหันต์จะไม่เกิดโทมนัสเวทนาครับ เพราะโทมนัส
เวทนาเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลคือจิตที่เป็นโทสะ แต่พระอรหันต์ไ่ม่มีกิเลสแล้วจึงไม่มีจิต
ที่เป็นโทสะจึงไม่มีโทมนัสเวทนาครับ ถูกต้องแล้วครับ ตามที่คุณกล่าว แต่ขอเสริมอีก
นิดนะครับ เมื่อพระอรหันต์กระทบทางกายที่ไม่ดี ชวนจิตเกิดได้ทางปัญจทวารคือทาง
กายได้ ซึ่งยังไม่ต้องรอถึงมโนทวาร ทางปัญจทวารก็ไม่เป็นอกุศลกับสิ่งที่ได้รับกระทบ
สัมผัสครับ เช่นเดียวกัยทางมโนทวารก็ไม่เป็นอกุศลเช่นกันครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปันครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
จริงๆ แล้ววิบากจิตเกิดได้ทั้ง 6 ทวาร และเกิดโดยไม่ต้อง อาศัยทวารก็ได้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เป็นวิบากทั้ง 5 ที่เกิด ทางตา ทางหู เป็นต้น ส่วนวิบากทางใจคือ ตทาลัมพนะ 2 ขณะ ส่วนวิบากที่ไม่ต้องอาศัยทวารคือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และ จุติจิต ขออนุโมทนา คุณ wannee.s ด้วยครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ