เรียนถามอาจารย์ทั้งสองท่านดังนี้ค่ะ
1. ขณะที่สติปัฏฐานเกิด จะเกิด 7 ขณะคือที่ชวนจิตตั้งแต่ดวงแรกไปจนถึงดวงสุดท้ายของวิถีจิตนั้นหรือเปล่าคะ
2. ขณะที่สติปัฏฐานเกิดโดยมีสติเป็นอารมณ์ สติที่เป็นอารมณ์นั้นเป็นสติที่เกิดกับจิตก่อนหน้านั้นหรือเปล่าคะ (เป็นปัจจุบันสันตติหรือเปล่าคะ) และถ้าเป็นแบบนั้นและเป็นแบบที่ถามในข้อแรก จิตขณะก่อนที่ว่านั้นเป็นชวนจิตที่อยู่ในวิถีก่อนหน้าชวนจิตที่เกิดสติปัฏฐานนี้ใช่ไหมคะ เนื่องจากสติเป็นตัวระลึกถึงสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น จึงสงสัยว่าสติจะระลึกถึงสติดวงเดียวกับตัวเองได้อย่างไร
3.ขณะที่สติปัฏฐานเกิดโดยมีจิตเป็นอารมณ์ จิตที่เป็นอารมณ์นั้นคือจิตขณะเดียวกับที่เกิดสติปัฏฐานหรือเปล่าคะ หรือเป็นจิตในขณะก่อนหน้านั้น
ขออภัยที่ถามอาจฟังดูวกวนนะคะ พอดีเมื่อวานฟังธรรมเกี่ยวกับเรื่องสติปัฏฐานแล้วเกิดความสงสัยค่ะ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
1. ขณะที่สติปัฏฐานเกิด จะเกิด 7 ขณะคือที่ชวนจิตตั้งแต่ดวงแรกไปจนถึงดวงสุดท้ายของวิถีจิตนั้นหรือเปล่าคะ
@ ก็คือ ตั้งแต่ ชวนจิตดวงแรก ถึง ชวนจิตดวงสุดท้าย ของวิถีจิตนั้น
2. ขณะที่สติปัฏฐานเกิดโดยมีสติเป็นอารมณ์ สติที่เป็นอารมณ์นั้นเป็นสติที่เกิดกับจิตก่อนหน้านั้นหรือเปล่าคะ (เป็นปัจจุบันสันตติหรือเปล่าคะ) และถ้าเป็นแบบนั้นและเป็นแบบที่ถามในข้อแรก จิตขณะก่อนที่ว่านั้นเป็นชวนจิตที่อยู่ในวิถีก่อนหน้าชวนจิตที่เกิดสติปัฏฐานนี้ใช่ไหมคะ เนื่องจากสติเป็นตัวระลึกถึงสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น จึงสงสัยว่าสติจะระลึกถึงสติดวงเดียวกับตัวเองได้อย่างไร
@ สติเป็นอารมณ์ของสติ โดยปัจจุบันสันตตติ ครับ
3.ขณะที่สติปัฏฐานเกิดโดยมีจิตเป็นอารมณ์ จิตที่เป็นอารมณ์นั้นคือจิตขณะเดียวกับที่เกิดสติปัฏฐานหรือเปล่าคะ หรือเป็นจิตในขณะก่อนหน้านั้น
@ เป็นจิตขณะก่อน โดยเป็นปัจจุบันสันตติ ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสััมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งสำคัญ คือ การมีโอกาสไดัฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ซึ่งมีจริงๆ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม การสะสมความเข้าใจตั้งแต่ต้นจะเป็นรากฐานสำคัญนำไปสู่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องได้ เพราะเรื่องของสติปัฏฐานนั้นเป็นปกติ ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นกิจหน้าที่ของธรรมฝ่ายดี มีสติและปัญญาเป็นต้น เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง
สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ นั่นเอง ที่จะเป็นที่ตั้งให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และปัญญารู้ตามความเป็นจริง (สติปัฏฐาน) เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จริงๆ ไม่ใช่เรื่องหวัง ไม่ใช่เรื่องต้องการ ไม่ใช่เรื่องของความจดจ้อง ไม่ใช่เรื่องของการไปกระทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเห็นผิด และ ด้วยความไม่รู้ แต่เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับ
เรื่องเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งขณะนั้นเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา
การระลึกรู้นามธรรม มีนามธรรมเป็นอารมณ์ สภาพของนามธรรมที่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน ต้องไม่ใช่ในขณะเดียวกัน เพราะจิตเกิดดับทีละขณะ การระลึกรู้นามธรรม จึงเป็นการระลึกรู้สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่ดับไปแต่ปรากฏความสืบต่อลักษณะที่สติปัญญาสามารถรู้ได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนถามอาจารย์เพิ่มเติมค่ะ จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันในขณะหนึ่งๆ จะเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกขณะนั้นๆ ไม่ได้ใช่ไหมคะ เช่น ศรัทธา ที่เกิดในขณะหนึ่งๆ จะไม่สามารถเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกอื่นๆ ในขณะนั้น ดังนั้น การที่นามธรรมจะเป็นอารมณ์ได้ จะต้องเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกในขณะถัดๆ ไปเท่านั้นใช่ไหมคะ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
เรียนถามอาจารย์เพิ่มเติมค่ะ จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันในขณะหนึ่งๆ จะเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกขณะนั้นๆ ไม่ได้ใช่ไหมคะ เช่น ศรัทธา ที่เกิดในขณะหนึ่งๆ จะไม่สามารถเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกอื่นๆ ในขณะนั้น ดังนั้น การที่นามธรรมจะเป็นอารมณ์ได้ จะต้องเป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกในขณะถัดๆ ไปเท่านั้นใช่ไหมคะ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ใช่ครับ ซึ่งขณะที่สติปัฏฐานเกิดต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลจิตมีปัญญาเกิดร่วมด้วย ระลึกรู้นามธรรม เป็นการรู้นามธรรมแต่ละหนึ่งเป็นตั้งอยู่ปัจจุบันโดยสันตติ หมายถึง นามธรรมที่สืบต่อกันอย่างรวดเร็วเสมือนปรากฏอยู่ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดมีสภาพธรรมให้รู้ ปรากฏเมื่อไหร่ก็รู้ในสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง สภาพธรรมใดยังไม่ปรากฏก็รู้ไม่ได้ ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมเท่านั้นค่ะ