ตอนนี้มีเรื่องปวดหัวเกี่ยวกับที่ทำงานมาก คือ พี่รวมงานคนหนึ่งที่ทำงานด้วยกันจะออก ในออฟฟิศมีดิฉันและพี่เขาเท่านั้น ตอนนี้พี่เขาจะออก ดิฉันต้องรับผิดชอบงานเพิ่มขึ้นเรื่องงานดิฉันไม่กลัวหรอก แต่ปวดหัวกับเจ้านาย เพราะเจ้านายมีหลายคน ต้องรับฟังความคิดของแต่ละคนและแต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน ตอนนี้ดิฉันต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากในการทำงานแต่ไมรู้จะอดทนได้มากแค่ใหน ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เข้าดิฉันคงหมดความอดทนสักวัน ตอนนี้ดิฉันพยายามเอาธรรมะเป็นที่พึงในการทำงานแต่ละวันเป็นอย่างมากค่ะ
ขอเชิญคลิกอ่าน
ที่พึ่งทางใจ ความสุขที่แท้จริง.
มีตนเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง.
การอยู่ร่วมกันแต่ละคนก็สั่งสมอุปนิสัยทางกาย ทางวาจา ทางใจ มาต่างกัน แม้แต่ตัวเราก็สั่งสมมาเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม จุดประสงค์ให้รู้จักธรรมะ เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็เป็นผู้ที่มีความเห็นถูก ปํญญาจะละคลายความยึดถือ แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรมและต้องมีการอบรมมากขึ้น ปัญหาและทุกข์ทั้งหลายก็จะลดลงค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คือส่วนหนึ่งที่จะเป็นบททดสอบความเข้มแข็งและอดทน ความอดทนเป็นธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ในฐานะของผู้ทำงานก็ตั้งใจทำงานที่มีอยู่หรือที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด การดำรงชีวิตในยุคปัจจุบันนั้นต้องทำงาน ต้องประกอบอาชีพ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำงานอะไรเลย ที่สำคัญอย่างยิ่งชีวิตของผู้ทำงานที่ประกอบด้วยความเข้าใจธรรม ย่อมเป็นชีวิตที่ดี เพราะฉะนั้นแล้วพึงอดทน ทำดีกับทุกคน เมื่อได้ทำในสิ่งที่ดีแล้ว ก็จะรู้สึกว่าได้ทำดี แล้วก็จะมีความสุขใจที่ได้ทำ เพราะขณะที่จิตเป็นกุศล ย่อมดีกว่าขณะที่จิตเป็นอกุศล
เมื่อได้กระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจประการต่างๆ แล้วหงุดหงิด ไม่พอใจ เกิดความขุ่นเคืองใจขึ้นในขณะนั้น ก็เพราะว่า เป็นบุคคลที่ได้สั่งสมมาที่จะมีอุปนิสัยอย่างนั้น ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ จึงเกิดขึ้น และเกิดบ่อย มากกว่าบุคคลผู้ที่ได้สั่งสมมาในเรื่องของความอดทน ขณะที่ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ เกิดขึ้น ตนเองเท่านั้นที่เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะกิเลสคือโทสะ คนอื่นจะทำให้ไม่ได้เลย คนอื่นไม่เป็นประมาณเลย ครับ
ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ก็จะเป็นเหตุให้สั่งสมกิเลสประการต่างๆ เป็นอุปนิสัยที่หนาแน่นขึ้น จนยากที่จะแก้ไขได้ ดังนั้นที่กล่าวว่า มีธรรมเป็นที่พึ่ง นั้น จึงต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
..
ค่อยๆ เข้าใจความจริงของโลกครับ ว่าขณะนี้เป็นโลกที่มีเจ้านายหลายคนกำลังแสดงความคิดเห็นของตนๆ ให้เราได้ยินได้ฟังอยู่ หรือว่าเป็นแต่เพียงความทรงจำเรื่องราวของเสียง ของสิ่งที่เห็นต่างๆ ฯลฯ ที่เกิดกับโลกความคิดนึกของตัวเราเองในขณะนี้เท่านั้น พิสูจน์ดูด้วยความเข้าใจในขณะนี้ครับว่า พระธรรมเป็นที่พึ่งให้กับเราจริงๆ ได้ไหม ในขณะนี้ อะไรมีจริง คือ มีปรากฏให้รู้จริงๆ แน่นอน และอะไรที่เหมือนกับว่าจะมีจริง แต่พอหาจริงๆ แล้ว ก็ไม่เห็นจะมี
ทบทวนอีกทีว่า พระธรรมเป็นที่พึ่งให้เราได้จริงไหม? ลองวัดจากความเข้าใจพระธรรมที่ได้ฟังมากับสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ดูครับ ว่าปัญญารู้ความจริงที่เกิดในขณะนี้ได้หรือไม่ ถ้าพอที่จะรู้ได้บ้าง ปัญหาทุกข์อย่างที่กำลังคิดว่าหนักหนาสาหัสที่ว่าทำไมเราจะต้องมาอดทนแบกรับความแตกต่างทางความคิดของผู้อื่นไว้ ก็จะค่อยๆ บรรเทาลงได้ครับ
แต่ที่สำคัญ คืออย่าลืมพึ่งพระธรรมในขณะที่ไม่ปวดหัว คือพึ่งในขณะที่เป็นปกติด้วยครับ เพราะจิตของเราเป็นไปกับอกุศลธรรมบ่อยเหลือเกินและก็ชินชากับความบ่อยจนลืมอยู่เสมอว่า เป็น "คุณประมาท" ที่ไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริงอยู่ ซึ่งก็เป็นของธรรมดา ที่เราจะไม่ค่อยจะคิดถึงความจริงที่มีในขณะนี้ เพราะได้สะสมอกุศลมามากกว่าจึงเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องที่เป็นที่เดือดร้อนใจอย่างรวดเร็ว ด้วยความรัก ความห่วงในความสุขของเราเอง
เวลาที่อกุศลเกิดกับจิต หากสะสมมากขึ้น ก็จะมีกำลังแรงจนถึงกับล่วงออกมา จะทางใดทางหนึ่งก็ตาม ล้วนแต่หนีไม่พ้นที่จะต้องเจอกับความกระสับกระส่าย กระวนกระวายใจอยู่เป็นประจำ ซึ่งความจริงก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือถ้ายังมีกิเลสก็จะต้องเจออย่างนี้ จะให้ผิดจากนี้ก็คงจะไม่ได้ แต่จะรู้ตามความเป็นจริงหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ที่จะรู้ได้ด้วยปัญญาเท่านั้นครับ
ผู้ที่ยังมีกิเลส ชีวิตแต่ละวันที่ผ่านไป ก็จะต้องประสบกับความไม่น่าพอใจ ความทุลักทุเลใจประการต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง เป็นธรรมดา แต่สาระของการดำเนินชีวิตที่จะเกิดจากการพึ่งพระธรรมนั้น จะอำนวยผลอันสมควรแก่เหตุได้ ก็จะต้องค่อยๆ ศึกษาพระธรรม ให้พระธรรมเป็นที่พึ่งแก่ปัญญาที่จะค่อยๆ เจริญขึ้นต่อไปครับ และอีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืม คือพึ่งพระธรรมด้วยการศึกษาพระธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อคลายอกุศลตามลำดับขั้น เริ่มจากความเห็นผิดก่อนครับ
กิเลสของผู้อี่นและกิเลสของตนเอง เป็นเครื่องวัดความเข้าใจธรรม การศึกษาธรรมของเราได้เป็นอย่างดีว่าพอเพียงหรือยัง ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กรุณาย้ำอยู่เสมอว่า "เท่าไรก็ไม่พอค่ะ"
เมื่อรู้เช่นนี้ก็จะเป็นปัจจัยให้มีความอดทน เพียรศึกษาธรรมทุกเมื่อทุกโอกาส เพื่อให้สติปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น สามารถเผชิญกับทุกๆ สถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานที่บ้าน หรือแม้ขณะอยู่คนเดียว ด้วยใจสงบ เมตตา อดทนและเข้าใจคนรอบข้างได้ดีขึ้นเองค่ะ
แนวทางการแก้ปัญหาต่างๆ ก็จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นตามเหตุปัจจัย เนื่องจากมีความในความเห็นตรงในสภาพธรรมต่างๆ ตามระดับความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นค่ะ ขอให้กำลังใจคุณเทียนในฐานะผู้ร่วมศึกษาธรรมเพื่อความเห็นถูกเข้าใจถูกด้วยกันค่ะ และขออนุโมทนาทุกท่านที่กรุณาแจกแจงข้อธรรมะต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยจิตเมตตา เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เป็นธรรมและเป็นธรรมดา ที่ยังมีความกังวลในสิ่งที่เกิดขึ้นที่มากระทบทาง ตา ทางหู..ใจ ไม่มีใครห้ามให้อดทนหรือไม่อดทน เพราะไม่ลืมว่าเป็นธรรมและเป็นอนัตตา ธรรมต่างหากทำหน้าที่ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นก็ปรุงแต่งให้สภาพธรรมที่ดี ที่เป็นกุศลธรรมเกิดขึ้นบ่อยขึ้น และไม่ลืมว่าเป็นธรรม ตั้งใจศึกษาพระธรรมในแนวทางนี้ต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง..เมื่อเข้าใจพระธรรม ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาความคิดเห็นของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
ปุถุชนมีชีวิต เหมือนเถาวัลย์ พันกันยุ่ง
อกุศลเกิดตลอดเวลา
มีปัญญาเท่านั้นเป็นที่พึ่ง
หมั่นศึกษาอบรม ฟังธรรม บ่อยๆ เนืองๆ ให้เกิดความเข้าใจ
ขณะที่เข้าใจ จิตเป็นกุศลคะ
..
ขอขอบพระคุณความคิดของแต่ละบุคคลนะคะที่ให้ความคิดด้านธรรมะ ตอนนี้ดิฉันเริ่มจะทำใจได้มากแล้วละคะและพยามยามจะใช้ สติและปัญญา ให้มากขึ้น ขออนุโมทนาในด้านความคิดของแต่ละบุคคลอีกครั้งด้วยความจริงใจคะ
ทดลองอาศัยธรรมอันนี้ดีไหมครับ ขบวนการเกิดขึ้นของอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ
1. ความต้องการของตัวเราได้ทำหน้าที่ต้องการตามที่เราชอบไปแล้ว (โลภ)
2. เมื่อไม่เป็นไปตามนั้น ความโกรธก็เกิดขึ้น แล้วตามด้วยต้องอดทนกับความทุกข์นั้นๆ คือ เมื่อเรื่องราวมันไม่เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็น (โทสะ) ก็จะเกิดตามมาทันที
สรุปก็คือ ทำหน้าที่ทางโลกเท่าที่ทำได้โดยไม่หวังผลอะไรเลย อะไรจะเกิดก็เป็นไปตามวิบากกรรม ส่วนทางธรรมนั้น ก็ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในใจ สลับไปสลับมาตามความสามารถที่คุณได้อบรมมา ไม่ด้องรีบร้อน ใจเย็นๆ พออบรมบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะมั่นคงขึ้น แต่อย่าลืมว่าต้องไม่หวังผลอะไรๆ ทั้งสิ้น มันเป็นไปตามกรรมจริงๆ
คิดว่าคุณเทียนคงมีแนวทางในชีวิตของตนว่าทำงานเพื่ออะไร ถ้าตอบคำถามตัวเองได้ ก็จะทราบว่าจะทำอย่างไรในการทำงานให้มีความสุข ถ้าทำงานด้วยการฝืนใจก็เป็นทุกข์ ควรตั้งเป้าหมาย และทำตามเป้าหมายให้สำแร็จลุล่วงไป ด้วยธรรมข้อความพยายามและความอดทน และด้วยจิตที่มีเมตตาต่อเจ้านาย ก็น่าจะทำให้สบายใจขึ้นและตั้งใจว่า ถ้าเราเป็นเจ้านายบ้างในวันใด เราจะไม่ทำอย่างเขา ขอให้โชคดีนะคะ
ข้าพเจ้าเชื่อว่า กุศลจะเอาชนะอกุศลได้เมื่อกุศลมีกำลังมากกว่าอกุศล มั่นคงในกุศลกรรม โดยไม่หวังรอผล (ให้ผิดหวัง) ถ้ามีสติ และปัญญา ย่อมแก้ปัญหาได้ค่ะ
มั่นคงในหนทางนี้ แม้เป็นเรื่องยาก.
จาก...คนประมาท.