ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
~ วันนี้ ก็เป็นวันดี พิเศษ ที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำที่ทุกคนลืมทุกวัน วันนี้มีใครคิดถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม มีแต่เรื่องอื่นทั้งหมด แม้แต่คำถามว่าเกิดมาทำไม แต่ว่ามีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงของทุกอย่างไม่เว้นเลยแต่ละอย่าง แต่ว่าเมื่อเป็นคำของผู้ที่ไม่ใช่คนธรรมดานักปราชญ์ใดๆ ในโลก แต่เป็นคำของผู้ที่ได้ใช้คำว่าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ถึงที่สุด เพราะฉะนั้น การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยที่ไม่เคยรู้จักพระองค์มาก่อนเลย ได้ยินแต่ชื่อ ก็ต้องรู้ว่าไม่ง่ายที่จะเข้าใจในพระปัญญาคุณที่สามารถที่จะรู้ความจริงถึงที่สุดถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คำของพระองค์กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะ เดี๋ยวนี้ ก็มีจริง
~ เกิดมาทำไม? คำตอบที่แน่นอน ก็คือว่า เกิดแล้ว เกิดแล้วมีอะไรบ้าง เกิดแล้ว เห็น เกิดมาทำไม? เกิดมาเห็น มีได้ยิน เกิดมาทำไม? เกิดมาได้ยิน ถ้าไม่เกิด จะมีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึกมีความจำ มีทุกอย่างไหม ซึ่งไม่รู้เลยว่าความจริงนั้นคืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่การที่จะรู้ความจริง ต้องค่อยๆ พิจารณาว่าเกิดแล้วจึงมี ถ้าไม่เกิด ไม่มี เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เองเกิดแล้ว
~ มีคำว่า ธรรม เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมทุกอย่างโดยประการทั้งปวงถึงที่สุดโดยละเอียดอย่างยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ จากการเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรทำให้เจ้าชายสิทธัตถะไม่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะอีกต่อไป แต่เป็นผู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ไม่มีใครเปรียบได้เลยทั้งโลกมนุษย์ โลกสวรรค์เทวโลกพรหมโลกใดๆ ทั้งสิ้น ก็ด้วยการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี (ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ที่จะตรัสรู้ความจริงซึ่งมีทุกขณะ แม้เดี๋ยวนี้ก็มี อย่างที่กล่าวว่ามีเห็น มีได้ยิน เห็นเป็นสภาพรู้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่รู้อะไรเลย ได้ยินเป็นสภาพรู้ แต่เสียงที่ได้ยินเสียง ไม่รู้อะไรเลย
~ เกิดแล้วก็ตาย แต่เกิดแล้วตายโดยไม่รู้ กับ เกิดแล้วก่อนตายยังรู้ความจริง ซึ่งจะเป็นจริงทุกชาติทุกขณะด้วย อะไรจะประเสริฐกว่ากัน?
~ ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ คือ สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น ความดี ดี เปลี่ยนให้ไม่ดี ไม่ได้ ความชั่ว ชั่ว เปลี่ยนให้ดี ไม่ได้ เห็น เปลี่ยนเป็นได้ยิน ไม่ได้ จำเปลี่ยนเป็นโกรธ ไม่ได้
~ อบรมเจริญปัญญาด้วยการเคารพในคำจริง (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เป็นสักกัจจภาวนา ไม่ใช่อะไรก็ได้ ใครบอกก็ได้ ไปไหนก็ได้ เชื่อหมด ให้ยกมือก็ยก ยกเท้าก็ยก ทำอะไรก็ทำ นั่นอะไร ตอบได้ไหม? ความไม่รู้ ใช่ไหม?
~ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะไม่รู้เลยว่าความไม่รู้มากแค่ไหน วันนี้เมื่อวานนี้ตั้งแต่เกิด รู้อะไรบ้างที่มีจริงๆ ทุกวัน? ไม่รู้เลย แล้วกี่ชาติมาแล้วในแสนโกฏิกัปป์นับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ตรงต่อความจริง เกิดมาก็ไม่รู้ความจริง เกิดมาแล้วก็ตายไป ก็ตายไปแน่นอน แต่ตายอย่างไม่รู้ความจริงต่อไปอีกแต่ละชาติ
~ ความทุกข์ทั้งหลาย ความทุจริตทั้งหลาย ความไม่ดีทั้งหลาย มาจากความไม่รู้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
~ ใครกำลังจะตายบ้าง? ลองคิด ทุกคนหรือเปล่า? ตายเดี๋ยวนี้ก็ได้จริงไหม? เพราะฉะนั้น ทุกคนก็กำลังจะตาย กำลังจะ...ๆ จนกว่าจะถึงขณะซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แม้ความตายก็ต้องเป็นในขณะนั้นที่มีปัจจัยถึงพร้อมที่จะพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์
~ ถ้าไม่ตรงตั้งแต่ต้น ก็จะไม่ตรงตลอดไป
~ เกิดขึ้นแล้วก็ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จึงไม่สามารถที่จะเป็นของเราหรือไม่สามารถที่จะเป็นเรา ไม่สามารถที่จะอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น นี้คือ ความหมายของคำว่า อนัตตา
~ โกรธ ไม่มีใครชอบเลย แต่โกรธแล้ว เพราะอะไร? ห้ามได้ไหม? ห้ามไม่ได้ โกรธเพียงเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีเราโกรธ แต่เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเมื่อโกรธแล้วจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย โกรธเกิดเมื่อไหร่ ก็คือ สิ่งนั้นแหละแสดงความชัดเจนว่าไม่มีใครบังคับให้เกิด ไม่มีใครทำให้เกิด (แต่) มีเหตุปัจจัยให้เกิด เกิดแล้วก็หมดไป ชีวิต ก็คือ อย่างนี้ ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย ก็ไม่มีชีวิต แต่เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องดับ แล้วก็หมดสิ้นไป
~ บรรพชา ก็หมายถึง สละ (ปวช - ในภาษาบาลี) หรือ ที่เราใช้คำว่า บวช คือ การสละทั่ว สละหมด สละชีวิตของความเป็นคฤหัสถ์ทั้งหมด จะต้องมีการระลึกตั้งแต่บวช ตั้งแต่ตื่น ว่า เราไม่ใช่คฤหัสถ์อีกต่อไป ด้วยความสมัครใจที่จะไม่ดำเนินชีวิตอย่างคฤหัสถ์ ไม่ทำมาหากินไม่มีอาชีพไม่มีสนุกสนานไม่มีการละเล่นไม่มีการล้อเลียนเพลิดเพลินต่างๆ แต่ดำรงชีวิตเพื่อที่จะได้เข้าใจพระธรรมแล้วก็ขัดเกลาอย่างยิ่ง
~ เงินทอง สามารถนำมาซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส สิ่งที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่สละ ละ ตั้งแต่วันที่ได้เป็นพระภิกษุ จะรับเงินทองไม่ได้ จะประพฤติอย่างคฤหัสถ์ ไม่ได้ จะพูดแม้ล้อเล่น ก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เพศคฤหัสถ์ แม้แต่จะรับประทานอาหารที่เราใช้คำว่าฉันหรือบริโภคก็ตามแต่ ต้องพิจารณาทุกครั้งก่อนที่จะบริโภค บริโภคเพื่ออะไร? ไม่ใช่สั่งอาหารมาบริโภคตามใจชอบหรือจะบอกคฤหัสถ์ไปว่าขอให้นำอาหารนั้นนำอาหารนี้มาถวาย ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การขัดเกลากิเลส ต้องรู้ว่าขัดเกลากิเลสเพื่อถึงการดับกิเลสเท่าที่สามารถที่จะเป็นไปได้
~ การที่ได้เข้าใจพระวินัย แล้วก็กล่าวพระธรรมวินัยให้พุทธบริษัทได้เข้าใจถูกต้อง เป็นความหวังดี เป็นมิตรที่ดี เพราะเหตุว่า โทษหนักมากสำหรับผู้ที่เป็นภิกษุแล้วไม่ปลงอาบัติ (ไม่แก้ไขในสิ่งที่ผิด) แล้วสิ้นชีวิต เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความเห็นแก่พุทธบริษัทด้วยกัน ได้ฟังพระธรรมแล้วก็ได้เข้าใจธรรมตั้งใจที่จะรักษาพระธรรมวินัยคือความเห็นถูกซึ่งยากที่จะเกิดได้ ให้ดำรงอยู่ ก็ต้องเข้าใจพระวินัยตามสมควร และการกล่าวให้เข้าใจความจริงตามพระธรรมวินัยนี้เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ? เป็นความหวังดีหรือเปล่า? นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเพิกเฉย ใครจะเป็นอะไรก็เป็น ใครจะตกนรกก็ตกไป จะอะไรก็ได้ อย่างนั้นเราเป็นมิตรหรือเปล่า เรามีความหวังดีต่อพุทธบริษัทด้วยกันหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยพุทธบริษัทพร้อมเพรียงกันศึกษาเข้าใจแล้วก็เกื้อกูลกันให้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัยเพราะฉะนั้น ไม่ใช่การกล่าวโทษภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง แต่ใครทำผิดก็คือผิด จะกล่าวว่าถูก ไม่ได้ และ ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ถ้าไม่รู้ตัวว่าผิด ก็จะต้องไปสู่อบายภูมิ
~ ไม่รู้เดี๋ยวนี้ ถ้ายังไม่รู้ต่อไป ความไม่รู้ก็เพิ่มขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสิ่งที่ถูกแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น ขณะนั้นก็จะรู้จักว่าใครเป็นผู้ค้นพบความจริงที่ถูกต้องที่สามารถจะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังไม่รู้ในขณะนี้ได้ถูกต้อง
~ ถ้าเปิดพระไตรปิฎก (ก็จะพบข้อความว่า) ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณทิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ พระวิหารเชตวัน เพราะฉะนั้น วัด ก็เป็นที่อยู่ของผู้สงบจากกิเลส
~ วัด (อาราม) เป็นที่สงบ เป็นที่ยินดีในความสงบจากกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าไปที่ไหน ที่นั่นเป็นที่ที่สงบจากกิเลส เพราะมีธรรม มีผู้ที่กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นให้คนอื่นให้เข้าใจถูกและเป็นผู้ที่มีความเป็นอยู่ต่างจากคฤหัสถ์ซึ่ง (คฤหัสถ์) เต็มไปด้วยกิเลส ที่ตรงนั้นเป็นวัดใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น ถ้ามีรูปกวนอิม ที่ใหญ่ที่สุด ที่นั่นเป็นวัดหรือเปล่า (ไม่ใช่) เพราะฉะนั้น ต้องรู้ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้ว ก็ผิดหมด
~ มงคล ๓๘ ประการ มีการสนทนาธรรม เป็นมงคล เพราะเหตุว่าสามารถที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นอกจากการฟังธรรมแล้ว การสนทนาธรรม ก็เป็นประโยชน์ด้วย เพราะว่าต่างคนต่างฟังทั้งนั้นเลย แต่ว่ามีความเข้าใจอะไรกันบ้าง ก็มาร่วมกันศึกษาให้เข้าใจเพิ่มขึ้นเพราะฉะนั้น ต้องรู้ ที่พระวิหารเชตวัน ไม่มีกวนอิม ไม่มีพระพิฆเนศ ไม่มีอะไรทั้งนั้น (ที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย) แต่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประทับ ชื่อ พระคันธกุฎี เพราะเหตุว่าจะมีกลิ่นหอมด้วยเครื่องบูชาจากผู้ที่ไปฟังพระธรรมเป็นประจำ แล้วก็มีที่อยู่ของพระภิกษุใช้คำว่ากุฎี ที่เราใช้คำว่ากุฏิ เล็กๆ สำหรับเป็นที่อยู่ที่อาศัยแต่ละหลังรวมกันเป็นพระวิหาร ทั้งหมดก็คือวัด ที่ใช้คำว่า อาราม ที่รื่นรมย์น่ายินดีเพราะไม่มีกิเลส ไม่มีความไม่รู้ แต่มีความสงบเพราะความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ที่ใดก็ตามที่ไม่เป็นอย่างนี้ เป็นอารามหรือวัดไหม? ไม่เป็น
~ การเข้าใจความจริง ค่อยๆ ละความติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะรู้ว่าความจริงไม่มีเราแน่นอน เมื่อไม่มีเรา อย่างหนึ่งอย่างใดที่ปรากฏก็เพียงปรากฏเป็นแต่ละหนึ่ง ทุกอย่างเพียงแต่มีปัจจัยทำเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
~ ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีปฏิบัติ (คือ การถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่มีจริงด้วยปัญญา) ต้องเข้าใจทุกคำ ปริยัติคือรอบรู้ในพระพุทธพจน์ เพียงฟังคำ ๒ – ๓ คำยังไม่รอบรู้ รอบรู้คือมีความมั่นคงในความเป็นธรรม แม้ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ถ้าไม่มีธรรม คือ พระคุณนี้ ก็จะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ถ้าปริยัติสมบูรณ์เมื่อไหร่ เป็นปัจจัยพอที่จะให้สติสัมปชัญญะ ซึ่งใช้คำว่าสติปัฏฐาน ซึ่งใช้คำว่า ปฏิปัตติ เกิดได้ เมื่อมีเหตุ ไม่ใช่ไม่มีเหตุอะไรแล้วก็ไปปฏิบัติ ปฏิบัติอะไรก็ไม่รู้ ปฏิบัติแล้วรู้อะไร ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เสียเวลาไหม? เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเปล่า?
~ ขอทราบความตรงและความจริงใจ ว่า ท่านที่เคยหลงผิดเข้าใจผิด ยังคงจะผิดต่อไปหรือว่าคิดว่าควรที่จะแก้ไข? ผิดก็ต้องทิ้งไป มิฉะนั้น ก็จะสะสม (สิ่งที่ผิด) ยิ่งๆ ขึ้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่งและขอกราบ อนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลจิตค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขออนุโมทนา
กราบ อนุโมทนา ค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ