พ้นจากเหวลึกในสังสารวัฏฏ์
โดย เมตตา  22 ธ.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 49142

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ -หน้าที่ 682

ชื่อว่าการมา โดยรวมเป็นกอง โดยความสะสม ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่เกิดขึ้น ชื่อว่าการไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับ ชื่อว่าการตั้งลงโดยรวมเป็นกองโดยสะสม โดยเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับแล้ว เหมือนนักดีดพิณเมื่อเขาดีดพิณอยู่เสียงพิณก็เกิด มิใช่มีการสะสมไว้ก่อนเกิด เมื่อเกิดก็ไม่มีการสะสม การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ออกเสียงพิณที่ดับไปก็ไม่มี ดับแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สะสมตั้งไว้, ที่แท้แล้วพิณก็ดี นักดีดพิณก็ดีอาศัยความพยายามอันเกิดแต่ความพยายามของลูกผู้ชายไม่มีแล้วยังมีได้, ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ฉันใด ธรรมมีรูปและไม่มีรูปแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้นไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ พระโยคาวจรย่อมเห็นด้วยประการฉะนี้แล


[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 322

พระปัจฉิมวาจา

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความ

เสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. นี้เป็น

พระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.

ข้อความจากอรรถกถา

... บทว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ความว่า จงยังกิจทั้งปวงให้

สำเร็จด้วยความไม่ไปปราศจากสติ. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรทม

ที่เตียงปรินิพพาน ประทานพระโอวาทที่ประทานมา ๔๕ พรรษา รวมลงใน

บทคือความไม่ประมาทอย่างเดียวเท่านั้น.


ท่านอาจารย์: ก็ยินดีด้วยในความละเอียดของคุณวิชัย เพราะว่า จะเป็นประโยชน์มากต่อผู้ที่ตรงต่อความจริง เราดูเหมือนง่ายมาก พูดกันทั่วโลก โน่น นี่ นั่น แต่ว่า ธรรมอยู่ไหน? รู้จักธรรมไหน? และศึกษาคืออะไร? เพราะถูกปิดบังไว้นานมากด้วยการไม่เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่กว่าจะรู้ความจริง กว่าจะรู้ความจริงต้องนานเท่าไหร่ เพราะเหตุว่า สะสมความไม่รู้มานานเกินแสนโกฏกัปป์ แน่หนาปึกแข็งปั๋ง และก็จะเอาอะไรไปค่อยๆ แซะออกไปจนกว่าจะหมด

มันเป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจถูกต้องในความลึกซึ้ง และพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหาผู้ใดเปรียบไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์

เพราะว่า ถ้าไม่สามารถที่จะเห็นความลึกซึ้ง และเข้าใจจริงๆ การศึกษาทั้งหมดไร้ประโยชน์ เพราะไม่รู้จักตัวธรรมแท้ๆ ซึ่งมีอยู่ทุกขณะ

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเราจะศึกษาอะไรมานานเท่าไหร่ การเป็นผู้ที่ละเอียดในการไตร่ตรองในความลึกซึ้งเท่านั้นที่จะช่วยให้ พ้นจากเหวลึกในสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะว่า ธรรมเกินวิสัยที่ใครจะคิด เพียงแค่ฟังนี่ เราไตร่ตรองแค่ไหน? เดี๋ยวนี้มี สิ่งที่ปรากฏ แน่นอน แต่ไม่สามารถจะรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่ปรากฏซึ่งต้องเกิด ไม่มีใครรู้ เกิดแล้วดับทันที ใครรู้? แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ฟังคำนี้ ปารมี ที่จะออกจากความไม่รู้ไปสู่ความประจักษ์แจ้งความจริง ซึ่งประเสริฐเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพราะความจริงถูกปกปิดไว้นานแสนนานมากเท่าไหร่ ไม่มีใครเปิดเผย จนกว่าจะมีผู้บำเพ็ญพระบารมี ด้วยพระมหากรุณาที่จะรู้ว่า คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ในความลึกซึ้ง

พระองค์เอง ในสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ จึงไม่ละความเพียรความพยายาม ความอดทน คุณความดีทุกอย่าง ที่สามารถจะประจักษ์ความจริงชองสิ่งที่กำลังปรากฏ ลองเทียบกับชีวิตเราวันนี้ ที่เราคิดว่า เราศึกษาพระธรรมเข้าใจพระธรรม เทียบได้ไหมกับ ส่วนที่ละเอียดเล็กที่สุดเกินที่จะประมาณได้ คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก่อนจะได้ตรัสรรู้ ถูกปิดกั้นไว้ด้วยความไม่รู้หนาแน่น เหนียวแน่นเพียงใดในแต่ละขณะด้วย เพราะเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดในชีวิตประจำวัน

เพราะฉะนั้น ความไม่เผิน ความไม่ประมาทพระโอวาทก่อนที่จะปรินิพพาน จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ฟังธรรมเพื่ออะไร? ลองถามกันดู ไตร่ตรองกันดูซิ จะตอบว่าอย่างไรส่วนใหญ่

อ.วิชัย: ก็เพื่อเข้าใจธรรมครับ

ท่านอาจารย์: อันนี้ ๑ แล้ว แต่เพื่อละ ความไม่รู้ คิดบ้างไหมว่า ละความไม่รู้ซึ่งมากมายมหาศาลทั้งวันทุกวัน กี่วัน ในสังสารวัฏฏ์

เพราะฉะนั้น นี่นำมาซึ่งความไม่ประมาทเลย ไม่ใช่ว่าได้ฟังคำของพระองค์ เข้าใจทุกคำ แต่ว่า ความจริงยังไม่ได้เปิดเผย ต้องมีหนทางที่จะให้ความจริงที่พระองค์ตรัส เปิดเผยให้รู้ จึงจะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่ว่าใครจะหวัง จะคิดปานใด มันไม่ใช่อย่างที่เป็นความจริงแท้ๆ เพราะเป็นแต่เพียงความคิด ความคาดคะเน แต่สภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างนั้น ลึกซึ้งแค่ไหนกว่าปัญญาจะค่อยๆ หยั่งลงไปแต่ละขั้น แต่ละคำ จนกระทั่งถึงขณะที่เริ่มเป็นปัจจัยที่จะทำให้รู้ตรงลักษณะนั้น แค่เริ่มตรงที่จะรู้ความจริง

เพราะฉะนั้น ทุกคำในพระไตรปิฎกลึกซึ้งอย่างยิ่ง อริยสัจจธรรม เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เป็นสัจจะที่จะต้องรู้ความจริงว่า ต้องถึงการประจักษ์แจ้งความจริงตามที่ได้ฟัง และหนทางนั้นเป็นอย่างไร อริยสัจจธรรม ๓ รอบ แสดงความลึกซึ้งปานใดของสภาพธรรมที่มีทั้งวันแต่ละหนึ่งๆ ละเอียดยิบ แล้วก็มีแต่ชื่อที่เราเรียก ขันธ์บ้าง อายตนะบ้าง อะไรบ้าง ก็เป็นความเข้าใจเริ่มต้นที่น้อยแสนน้อย และบางคนก็อาจจะเผินมาก หาความเข้าใจโน่น นี่ นั่น ไปตลอดชีวิตในคำต่างๆ เพื่ออะไร? คำต่างๆ นั้นสามารถจะประจักษ์ได้ไหม ถ้าไม่รู้ว่า อริยสัจจะมี ๓ รอบ ขั้นที่ ๑ ความไม่ประมาทในการฟัง อนุศาสนีปาฏิหาริย์ ไม่มีปาฏิหาริย์ใดเทียบเท่าปาฏิหาริย์นี้เลย เพราะเหตุว่า ปาฏิหาริย์นี้นำออกซึ่งความไม่รู้ ความติดข้อง จนประจักษ์แจ้งความจริงได้ เปลี่ยนจากความไม่รู้อย่างมากมายมหาศาล เป็นความประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม

ในขั้นฟังต้องรู้ว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้งต่างกันปานนี้ จึงจะละความหวังที่จะไปทำอะไร ที่จะไปหวังอะไร ที่จะต้องการอะไร ที่จะรู้เฉพาะตรงนี้ ทั้งๆ ที่ตรงนี้ไม่ได้ปรากฏ แต่อยากจะรู้ตรงนี้ของอย่างอื่นที่ไม่ได้ปรากฏ แต่ตรงนี้ปรากฏใครเคยคิดบ้าง เพียงแค่เห็น สัจจะหรือเปล่า? จริงหรือเปล่า? เกิดหรือเปล่า? ดับหรือเปล่า? เห็นไหม? เพื่อประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เพื่อเพียงฟังแล้วก็เข้าใจ แล้วหนทางที่จะประจักษ์แจ้งก็ต้องเป็นอริยสัจจะที่ ๒ เป็นหนทางที่จะถึงการประจักษ์แจ้งอริยสัจจะรอบที่ ๓

เพราะฉะนั้น ถ้าฟังอย่างนี้สบายใจได้เลย ไม่ต้องไปหวังอะไรหมด เริ่มละความหวัง เพราะรู้ว่า ความหวังนั้นลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ ไม่ใช่จะถึงได้โดยง่าย แต่ต้องโดยความอดทน มั่นคงในความจริง ฟังพระธรรมด้วยความเคารพสูงสุด ค่อยๆ รู้จักธรรม ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ตัวเองทั้งหมด แต่วันหนึ่งๆ รู้จักคนอื่นเยอะเลย คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ใช่ไหม? แล้วธรรมล่ะ อยู่ไหน?

เพราะฉะนั้น ฟังทุกคำเพื่อละเมื่อเห็นความลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจถูกต้องก็จะรู้ได้ว่า แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีทุกอย่าง เพื่อค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ประจักษ์แจ้ง นี่คือความเคารพสูงสุดในการมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

กำลังพึ่งพระองค์ทุกขณะ ทุกคำที่ได้ฟังด้วยความเคารพ

ขอเชิญอ่านได้ที่..

ฟังธรรมเพื่ออะไร

ปาฏิหาริย์ ๓ [เกวัฏฏสูตร]

ขอเชิญฟังได้ที่..

พื้นฐานอภิธรรมอยู่ที่ไหน

พล่านอยู่ในเหวลึกจะขึ้นอย่างไร

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 22 ธ.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ