พระท่านอ้างเรื่องยุคสมัย ก็ถูกของท่าน คือเป็นยุคสมัยของพระทุศีลไงครับ ผู้ถวายเงินพระ เป็นบุญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรงอย่างไม่ต้องสงสัย อยากถวายเงินพระก็อ้างโน่น อ้างนี่ ความจริงเห็นแก่ตัวมาก ถือเอาความสบายส่วนตัวเป็นหลักแถมยังโลภในบุญ เพราะคิดว่าถวายเงินพระแล้วได้บุญมาก พระศาสนาจะเป็นไงก็ช่าง ฉันไม่สนใจ เพราะได้ทำบุญกับพระแล้วได้บุญมากกว่าทำบุญอย่างอื่น ศาสนาจะเสื่อมก็เพราะพวกเรากันเองนี่แหละ ไม่ควรไปโทษศาสนาอื่น ไม่ควรกระเสือกกระสนไปบรรจุพระพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญด้วย จะไปบังคับเขาทำไม ในเมื่อตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้า ห้ามพระรับเงิน
ที่เขาถวายเงินพระภิกษุ เพราะเขาทำไปด้วยความไม่รู้พระวินัย เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ควรศึกษาธรรมวินัยด้วย จะได้รู้ว่าอะไรสมควรกับพระภิกษุ อะไรไม่สมควรแก่พระภิกษุค่ะ ถ้าพระภิกษุและอุบาสก อุบาสิกา ต่างช่วยกันศึกษาธรรมะ ก็จะรักษาศาสนาให้ยืนนานค่ะ
ให้เพื่อประโยชน์สุขของผู้รับ แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมด้วยค่ะ
เพราะไม่ศึกษาพระวินัย เปรียบเสมือนต้องการเดินทางไปที่หนึ่ง แต่ไม่ได้ศึกษาถนนหนทางนั้น ก็ย่อมที่จะเดินตกท่อลงไปในคูน้ำได้ ฉันใดผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมแม้จะมีจิตที่เป็นกุศล ก็ย่อมพลาดพลั้งลงสู่อบายได้ฉันนั้น
การที่ในสมัยนี้ นิยมการถวายเงินแก่ภิกษุ เป็นตัวอย่างของโทษแห่งการขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง ภิกษุที่ยังเป็นปุถุชน ก็ยังเสมือนบุคคลที่เป็นโรค ดังนั้น ภิกษุควรรู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควรกับเพศบรรพชิต หากรับของที่ไม่ควรเช่น ทรัพย์สิน เงิน เป็นต้น ก็เหมือนการรับเอาสิ่งของที่แสลงต่อโรค เป็นโทษสถานหนัก ส่วนคฤหัสถ์เองก็ควรมีการศึกษาให้เข้าใจว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควรแก่ภิกษุ มิเช่นนั้น ก็จะเสมือนการนำอาหารที่เป็นโทษไปเยี่ยมคนไข้