เชิญสหายธรรมทุกท่านร่วมกันสนทนาค่ะ
"เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว"
ท่านมีความเข้าใจอย่างไรค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ความเป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวมีหลายนัย บางนัยก็หมายถึงภิกษุผู้เที่ยวไปผู้เดียว นั่ง นอน ยืน รูปเดียว เป็นต้น แต่บางนัย พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าผู้ที่ยังมีกิเลสยังมีเพื่อน เพื่อนที่สนิทที่สุดคือตัณหา ความยินดีพอใจ ขณะใดที่บุคลลได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่นแล้วเกิดความติดข้องพอใจเกิดขึ้น แม้ว่าบุคคลนั้นจะอยู่คนเดียว แม้อยู่ในป่าเงียบสงัดก็ชื่อว่าเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยเพื่อน เพื่อนคือตัณหาไม่ชื่อว่าอยู่ผู้เดียวเลย ครับ
ส่วนบุคคลใด เมื่อได้เห็น ได้ยินในสิ่งต่างๆ แล้วไม่ติดข้อง ไม่เกิดโลภะ ผู้นั้นชื่อว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว แม้บุคคลนั้นจะอยู่กับคนหมู่มากก็ยังชื่อว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
มีปกติอยู่ผู้เดียว [ปฐมมิคชาลสูตร]
ผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว [เถรนามสูตร]
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ท่านมีความเข้าใจอย่างไรค่ะ
^
^
ไม่เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสค่ะ
พระสูตรจากความเห็นที่ ๒ ชัดเจน จึงเข้าใจตามนั้น
และขออนุโมทนาค่ะ
ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะ ขณะที่ไม่มีใครอยู่ด้วย หรือ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่สัมผัส คนอื่น ก็คิดว่า นี่แหละเรียกว่าอยู่คนเดียว.ที่จริงแล้วโดดเดี่ยวในโลกที่เกิดทางทวารทั้งห้า
เชิญคลิกอ่าน....
โดดเดี่ยวอยู่ในโลก...ตามลำพัง
จากการศึกษาพระธรรม..ผู้สิ้นตัณหาจึงชื่อว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว จริงไหม ถ้าไม่สิ้นตัณหาแม้อยู่คนเดียวก็ยังคิดถึง ถึงคน สัตว์ สิ่งของด้วยความผูกพัน ด้วยโทสะ ทำให้เกิดได้ทั้งกุศลและอกุศลเสมือนว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่ด้วย ดังนั้น จะเรียกว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ย่อมไม่ได้พระธรรมคือสัจจธรรมจริงๆ
ข้อความจากพระไตรปิฎก ตามที่คุณเผดิมนำมาแสดงกล่าวดังนี้
เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น ในเพราะ นิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.
สาธุ
การอบรมสติปัฏฐานคือการระลึกลักษณะของธรรมะที่มีจริงในขณะนี้ เป็นหนทางเดียว เพื่อละความเป็นอยู่ด้วยเพื่อนสองคือตัณหาค่ะ
ในชีวิตประจำวันทางโลก
อยู่ผู้เดียว (แต่ไม่ปกติ)
แต่ถ้าเป็นความหมายทางธรรม
แม้อยู่ผู้เดียว
ก็ถูกแวดล้อมด้วยเพื่อนสนิท นานาชนิด
มิได้อยู่ผู้เดียวเลย ตลอดวัน ตลอดคืน
....................
เข้าใจและเห็นด้วยกับความเห็นทุกท่านในทุกกระทู้เลยค่ะ
....................
กราบอนุโมทนา
เป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวมีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน อยู่กับนามธรรมหรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏระลึกรู้สภาพธรรมที่มีจริงอยู่เนืองๆ บ่อยๆ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งว่าทุกขณะเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา
...ขออนุโมทนาครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส เพราะได้สะสมกิเลสมามากมายนับชาติไม่ถ้วน กิเลสจึงเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่อยู่เป็นประจำ เกิดมากกว่ากุศลเป็นปกติอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว ก็ยังไม่ชื่อว่ามีปกติอยู่ผู้เดียวอย่างแท้จริง เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส ยังไม่เป็นผู้ปราศจากกิเลส จนกว่าจะได้มีการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้นสามารถที่จะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เมื่อนั้นจึงจะชื่อว่าเป็นผู้อยู่ผู้เดียวอย่างแท้จริง เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกิเลสอีกต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาค่ะ
จนกว่าจะได้ (มี) การอบรมเจริญปัญญา สะสม "ความเข้าใจถูก" และ "เห็นถูกขึ้นไป" ตามลำดับ จนกระทั่ง "ปัญญา" เจริญขึ้น คมกล้าขึ้นสามารถที่จะดับกิเลสทั้งหลาย ทั้งปวง ได้ อย่างเด็ดขาด เมื่อนั้น จึงจะชื่อ ว่า "เป็นผู้อยู่ผู้เดียวอย่างแท้จริง" เพราะ "ไม่ได้อยู่ด้วยกิเลส" อีกต่อไป
อนุโมทนา...สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
บางครั้งเราจะคิดว่าอยู่กันหลายคน มีทั้งญาติ พี่ น้อง พ่อและแม่ เพื่อนฝูงมากมาย แต่จริงๆ การมีปกติอยู่เพียงผู้เดียวนั้นก็คือ อยู่กับความคิดของตนเองนั่นแหละ ไม่มีใครเลยจริงๆ มีแต่ความคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่มากระทบตลอดเวลา ท่านอาจารย์เคยปรารภว่าทะเลภาพ ทะเลชื่อ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ