ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
( (ภาพพระนอนที่วัดใหญ่ไชยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากกลุ่มศึกษาธรรม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดย นายแพทย์อาคม และ คุณจิราภรณ์ ภิรมย์พานิช
พลอากาศตรีหญิงกาญจนา และ รองศาสตราจารย์สงบ เชื้อทอง ให้ไปสนทนาธรรม
ที่โรงแรมแกรนด์ อยุธยา เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา
ครั้งนี้ นอกจากจะเป็น ณ กาลครั้งหนึ่งของทุกๆ ท่านในวันนั้นแล้ว
สำหรับข้าพเจ้า ณ กาลครั้งนี้ เป็นกาละที่แสนประเสริฐที่สุดอีกครั้งหนึ่งของชีิวิต
ในจังหวัดที่ข้าพเจ้าเคยเริ่มชีวิตการทำงานครั้งแรกของข้าพเจ้าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่นี่
พระนครศรีอยุธยา ซึ่งแม้ว่าจะเป็นที่ที่ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นปึกแผ่นมาจนวันนี้ได้
แต่ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการที่ได้กลับมาในสถานที่นี้อีกครั้งพร้อมกับการได้ฟังพระธรรม
โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้ที่มีพระคุณล้นเหลือ ไม่แต่กับข้าพเจ้า
แต่กับทุกๆ ท่าน ที่ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์โดยเสมอภาคกัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 78
๔. พหุการสูตร
ว่าด้วยผู้มีอุปการะมาก ๓ จำพวก
[๔๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้ เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้คือใคร คือ บุคคล (ศิษย์) อาศัยบุคคล (อาจารย์) ใด จึงได้ถึงพระพุทธเจ้า ... พระธรรม ...พระสงฆ์เป็นสรณะบุคคล (อาจารย์) นี้ เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) นี้
เนื้อหาการสนทนาธรรมในวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดกุศลปีติมากครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกได้
ถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของท่านอาจารย์ต่อทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ต่อคณะผู้ศึกษาธรรมพระนครศรีอยุธยาที่เชิญท่านมาสนทนาธรรม
ซึ่งท่านจะได้เห็นว่า การสนทนาในครั้งนี้ มีความต่างที่น่าสนใจจากครั้งอื่นๆ
จากคำถาม ที่คุณหมออาคม ได้เรียนสนทนาและเล่าประสบการณ์ การศึกษาธรรมะ
ของท่าน ให้ท่านอาจารย์ฟัง และ ขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ นะครับ
ข้าพเจ้าเห็นประโยชน์ในคำบอกเล่าประสบการณ์ของคุณหมอ จึงขออนุญาตทุกท่าน
ลงข้อความที่คุณหมอได้สนทนาไว้โดยละเอียดพอควร
อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าไม่อาจนำข้อความการสนทนาทั้งหมดในวันนั้นมาแสดง
ได้โดยครบถ้วน จึงใคร่ขอโอกาสนำเสนอให้ทุกท่านได้พิจารณาแต่เพียงสังเขปเท่านั้น
และหวังว่าทุกท่านจะได้ฟังการสนทนาในวันนั้น โดยครบถ้วน ในโอกาสต่อไปนะครับ
รศ.สงบ กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและ
เผยแพร่พระพุทธศาสนา กราบเรียนท่านพลเอกสพรั่ง กัลญาณมิตร กรรมการมูลนิธิฯ
สหายธรรมทุกท่านครับ
พระพุทธเจ้าเปรียบประดุจพระอาทิตย์ พระธรรมเปรียบประดุจแสงอาทิตย์ ขณะนี้
พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว แต่แสงแห่งพระอาทิตย์ คือ พระธรรม ยังอยู่
วันนี้ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับ คณะวิทยากรได้อัญเชิญ แสงสว่าง
คือพระธรรม มา ณ ที่แห่งนี้ โรงแรมแกรนด์อยุธยา
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ก่อนปรินิพพานว่า "...ในกาลล่วงไปแห่งเรา ตถาคต
พระธรรมวินัย จักเป็นตัวแทนของเรา..."
วันนี้ ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม ประหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาโปรดพวกเรา
ทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นสิริมงคลและนิมิตหมายอันดีงามยิ่ง
ผู้ที่ทำให้มีโอกาสอันดีงามเช่นนี้เกิดขึ้นนั้น ก็คือ พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง
ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพอากาศ ก็ขอเชิญมาแนะนำท่านวิทยากร และแนะนำท่านสหายธรรม
ซึ่งเป็นเพื่อนๆ ที่อยุธยา เชิญครับ
พล.อ.ต.หญิงกาญจนา ขอบคุณรองศาสตราจารย์สงบ เชื้อทอง สามีผู้สนับสนุน
การกุศลทุกอย่าง
กราบท่านอาจารย์ ท่านสพรั่ง กัลญาณมิตร สหายธรรม เพื่อนกลุ่มศึกษาธรรม
อยุธยา....อย่างที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้นะคะ จริงๆ แล้ว ท่านอาจารย์บอกไม่ต้องเอ่ย
ชื่อดิฉันก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว ที่ดิฉันสามารถพูดหรือเขียนอะไร ที่มีสาระได้ เพราะฟังท่าน
อาจารย์บรรยายมาเกือบ ๓๐ ปี
มีประโยคที่ท่านอาจารย์พูด แล้วฝังอยู่ในใจเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้น ทำให้พูด
คือ คิดดังๆ แล้วก็คิด คือพูดในใจอย่างมีเหตุผล มากขึ้นเรื่อยๆ
ก็ต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์อยู่ตลอดเวลาที่ได้คิด หรือ ได้พูดสิ่งที่มีสาระ
ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ว่า ไม่มีใครสามารถช่วยให้ใคร สามารถพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ได้
.......เพราะว่าเมื่อยังมีการกระทำอกุศลกรรม ก็ต้องมีอกุศลวิบาก ให้ได้เห็น
แม้ว่าจะมีผู้มีเมตตาจิตช่วยเหลือด้วยปัจจัยสี่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร
อะไรก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้น ก็จะหมดไปในไม่ช้า
สู้ช่วยให้เข้าใจพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นมรดกแก่พุทธศาสนิกชนไม่ได้
.......ดังนั้น การให้ธรรมเป็นทาน จึงชนะการให้ทั้งปวง....ด้วยเหตุนี้ ดิฉันและ
คุณหมอ (อาคม) จึงจัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้น หวังว่าจะให้เพื่อนที่เรียนหนังสือ
ด้วยกันมา แล้วก็เพื่อนสหายธรรมที่มูลนิธิฯ ซึ่งได้ติดตามฟังท่านอาจารย์มา
ทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะรู้ว่ายิ่งฟังเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสิ่งไม่รู้มากขึ้นเท่านั้น
เพราะพระธรรมลึกซึ้งยิ่งนัก ฟังหนแรกเข้าใจอย่างหนึ่ง ฟังต่อไปเข้าใจมากขึ้นๆ
เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่ท่านอาจารย์และคณะวิทยากร เมตตาให้โอกาส
เราได้ฟังพระธรรมอีกครั้ง ต่อไปก็ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์ และถ้าผู้ใดสงสัย
มีปัญหาที่จะถาม ก็ขอเชิญที่ไมโครโฟนพร้อมแนะนำตัวเองด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ ได้ทราบว่ามีคำถามมาก นะคะ ก็ขอเชิญค่ะ
นพ.อาคม ครับ กราบเรียนท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็อย่างที่คุณแดงได้แนะนำนะครับ
ว่า ได้ฟังธรรมะของอาจารย์ ที่อาจารย์ออกทางสื่อทั้งหลายแหล่มานาน แต่ว่า อย่างที่
เรียนอาจารย์ว่า ฟัง ก็คือ ฟัง นะครับ ตราบใดที่เราฟัง แล้วมันไม่เข้าไปในใจ แล้วเราไม่
นำไปปฏิบัติเนี่ย ก็คงได้แค่ฟัง
ก็ในชีวิตที่ผ่านมา ก็ได้นำธรรมะบ้าง บางส่วน แต่ว่า ก็ไม่ได้มากมาย ก็คือว่า
เมื่อไปอยู่ที่ (โรงพยาบาล) รถไฟเนี่ย เกิดความว้าเหว่ พูดง่ายๆ ก็ เกิดทุกข์ จากการที่
เป็นแพทย์ประจำบ้านโรงพยาบาลราชวิถี งานมากมาย เปลี่ยนไปอยู่ที่ (โรงพยาบาล) รถ
ไฟเนี่ย เป็นโรงพยาบาลสวัสดิการ ซึ่งก็เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ แล้วก็ไม่มีงาน ก็มีความ
รู้สึกว่า เอ๊ะ! ชีวิตเราจะหาอะไรที่เป็นแก่นสารได้หรือ จากที่นี่
แต่ว่า ด้วยสิ่งที่ผลักดันไป ได้ไปอยู่ที่นั่น ก็เป็นความจำเป็น ที่เราจะต้อง ครอง
ชีวิตอยู่ ก็ได้ไขว่คว้า แล้วก็หา ก็ได้ไปสะกิดใจอยู่คำหนึ่งที่ หลวงปู่ดุลย์ ตอนนั้นได้ไป
นมัสการหลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่ดุลย์ถามว่า มาทำไม? คำถามสั้นๆ เนี่ย ก็ทำให้เรากลับมา
คิดว่า เอ๊ะ! เรามัวแต่ตามล่าพระอรหันต์อยู่อย่างนั้นน่ะแล้วเราจะเจอตัวเองมั๊ย ก็ได้กลับ
มาคิดว่า หลวงปู่เนี่ย ให้เราตามหาตัวเอง หลังจากนั้น ก็ได้เริ่มศึกษาเข้าหาตัวเองมาก
ขึ้น แต่ว่าทั้งหมดทั้งสิ้นเนี่ย มันก็เป็นเพียงแต่สิ่งที่ เหมือนกับก่อนที่เรายังไม่สามารถทะลุ
ทะลวงออกไปได้
ในเรื่องของ อภิธรรมนี่ก็ ได้ยิน ได้ฟัง ตลอดเวลา รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แม้แต่ว่า อย่าง
ที่ที่บอกว่า ถ้าเราติดตามขณะจิต เราได้เองเนี่ย คำว่าขณะจิตเนี่ย คืออะไร? ก็ได้ดู
ได้เห็นบ้าง เป็นบางโอกาส ได้ฟังแล้ว รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เอามาทำเองบ้าง ไม่ได้ทำเองบ้าง
สิ่งที่เข้าใจว่า สิ่งที่คิดว่ารู้ บางทีก็ไม่รู้ นะครับ
อย่างที่คุณแดงว่า เมื่อฟังไปครั้งหนึ่ง เรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นแบบนี้ ฟังใหม่ สิ่งที่เรารู้นี่
มันก็ไม่ใช่เสียแล้ว อะไรอย่างนี้
ถึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ในสภาพธรรมเหล่านี้เองนี่ เราสามารถที่จะ
"รู้สิ่งที่เป็นปัจจุบัน" ด้วยกรรมวิธีการใด? นะครับ จะตามมันได้ทันขนาดไหน?
แล้วมีวิธีการอย่างไรบ้าง? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนรุ่นใหม่นี่ "ถ้ามีทางลัด" นะครับ
อาจารย์ช่วยแนะนำด้วย ขอบพระคุณครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็มี "ธรรมะคิดเอง" กับ ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคฯได้ทรงแสดงไว้
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะเนี่ยค่ะ ต้องเป็นผู้ที่ "ไม่เผิน"
แมัแต่คำว่า "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" ไม่ใช่บุคคลที่ ใครๆ จะเป็นได้
ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่มีทางที่จะถึงการเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงพระธรรม ก็พูดถึง "สิ่งที่มีจริง"
ทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริง ในขณะนี้ ทั้งหมด
เป็นสิ่งที่น่าไตร่ตรองว่า สภาพที่มีจริงในขณะนี้ "สิ่งที่กำลังปรากฏ" รู้จักหรือยัง?
ถ้ายัง ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง ของทุกสิ่งที่มีจริง
(ภาพท่าน พ.อ.นพ.กสานต์ิ สีตลารมย์ นายแพทย์ผู้มีความประทับใจจากการรักษา
คุณบุษบงรำไพ พึ่งบุญ ณ อยุธยา พลวัฒน์ ทราบว่าคุณ บุษบงรำไพ ศึกษาธรรมะ
จากท่านอาจารย์ แล้วเกิดศรัทธามาก ทราบข่าวการสนทนาธรรมที่อยุธยา จากเวปนี้
จึงขับรถด้วยตนเอง มาฟัง และร่วมสนทนาธรรม กับทั้งได้พบท่านอาจารย์เป็นครั้งแรก
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ)
เพราะฉะนั้น "ไม่ใช่ธรรมะคิดเอง" หรือเราจะคิดว่า "เราจะรู้ได้โดยง่าย"
โดยการหาวิธีลัด เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของความต้องการ (โลภะ) แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องของ
การ "เข้าใจ" (ปัญญา) ว่าขณะนี้แม้มีสิ่งที่มีจริงๆ ก็ยังไม่รู้ "ความจริง" ของ "สิ่งนั้น"
เพราะฉะนั้น ที่ใช้คำว่า "ปัจจุบัน" หมายความถึง สิ่งที่ "กำลังมีในขณะนี้"
เช่น "เห็น" กำลังเห็น "ได้ยิน" กำลังได้ยิน "คิดนึก" กำลังคิดนึก
รู้ความจริงของ "เห็น" รู้ความจริงของ "ได้ยิน" รู้ความจริงของ "คิดนึก" หรือยัง?
ในพระไตรปิฎก กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ทุกอย่าง เรื่องเห็น เรื่องได้ยิน ได้กลิ่น
ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก คิดนึกนี่เป็นเรื่องยาว แม้แต่ละขณะที่คิด
คิดด้วยความรู้สึกเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเฉยๆ
ทั้งหมดก็คือ สิ่งที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษาธรรมะโดยละเอียด ต่างคน ต่างก็จะไปไหนก็ไม่ทราบ?
เช่น "จะปฏิบัติ" จะปฏิบัติอะไร? เพื่ออะไร? รู้อะไร?
จะสามารถรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ได้หรือเปล่า?
ถ้าไม่สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ หวังจะรู้อะไรที่ไม่ปรากฏ?
สิ่งที่หมดไปแล้ว รู้ความจริงไม่ได้เลย สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังไม่รู้ว่าอะไร จะปรากฏให้รู้
แต่ขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ จริงๆ
แล้ว ถ้าไม่รู้ในขณะนี้ ก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้
ไม่ว่าจะเป็นการตรัสรู้ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่พระองค์
ผู้ที่ไม่รู้ ก็คงไม่รู้ ไปเรื่อยๆ แต่ว่าผู้ที่รู้ เพราะได้ฟัง ก็จะเริ่ม "เข้าใจ"
สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่ใช้คำว่า "ปัจจุบัน" ต้องเป็นในขณะนี้
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ก็ต้องฟังอย่างละเอียด ไม่ผิวเผิน
เช่น ธรรมะ "ฟังธรรมะ" ไม่ใช่ "คิดธรรมะ"
ไม่ใช่อยากจะรู้ หรือว่า บรรลุธรรมะ
โดยไม่เข้าใจ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เพราะว่า ตามความเป็นจริง แม้เป็น "สิ่งที่ปรากฏ" ก็ไม่รู้
และ ควรที่จะเริ่มรู้หรือยัง?
เพราะเหตุว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ความจริงในขณะนี้ ค่ะ
"ทางลัด" ไม่มี เพราะ "ทางลัด" เป็นเรื่อง "ไม่รู้"
แต่ความรู้ "ไม่ลัด"
เพราะเหตุว่า ขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะลัด โดยวิธีไหน?
ที่จะทำให้รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ....
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชนาติ.
" ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง,
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง,
ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง,
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง."
................
กราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านวิทยากร และ ขอกราบอนุโมทนา นายแพทย์อาคม คุณจิราภรณ์ ภิรมย์พานิช
ท่านพลอากาศตรีหญิงกาญจนา รองศาสตราจารย์สงบ เชื้อทอง
และทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดให้มีการสนทนาธรรมในครั้งนี้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านและชมจนจบด้วยครับ
ผมขออนุญาตประมวลวลีที่ผมประทับใจจากท่านอาจารย์ดังนี้นะครับ
• ต้องเป็นผู้ที่ "ไม่เผิน" นะคะ
• เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงพระธรรม ก็พูดถึง "สิ่งที่มีจริง" นะคะ
• ทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริง ในขณะนี้ ทั้งหมด
• "สิ่งที่กำลังปรากฏ" รู้จักหรือยัง?
• "ปัจจุบัน" นะคะ หมายความถึง สิ่งที่ "กำลังมีในขณะนี้"
• ถ้าไม่สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้นะคะ หวังจะรู้อะไรที่ไม่ ปรากฏ?
• ถ้าไม่รู้ในขณะนี้ นะคะ ก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้
• ผู้ที่ไม่รู้ ก็คงไม่รู้ ไปเรื่อยๆ แต่ว่าผู้ที่รู้ เพราะได้ฟัง นะคะ ก็จะเริ่ม
"เข้าใจ"
• "ฟังธรรมะ" ไม่ใช่ "คิดธรรมะ (เอง) "
• แม้เป็น "สิ่งที่ปรากฏ" ก็ไม่รู้ และ ควรที่จะเริ่มรู้หรือยัง?
• "ทางลัด" เป็นเรื่อง "ไม่รู้" แต่ความรู้ "ไม่ลัด" ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยและทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ันั้น"การฟังธรรมะ ก็ต้องฟังอย่างละเอียด ไม่ผิวเผิน""ทางลัด" ไม่มี เพราะ "ทางลัด" เป็นเรื่อง "ไม่รู้" แต่ความรู้ "ไม่ลัด" และอีก ๑ ธรรมวาทะที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเตือนในวันนั้น คือ"ไม่ละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต (คือ การฟังพระธรรม) "กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่านครับ
รายการธรรมสัญจรทุกครั้งจะไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าไม่มีคุณวันชัย ภู่งาม ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในการถ่ายภาพ และที่สำคัญที่สุด คือ มีศรัทธาและมีความเข้าใจพระธรรม ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะอย่างยิ่งค่ะ
พี่แดง - พี่สงบ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ.
"ไม่ละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ การฟังพระธรรม" กราบอนุโมทนาในพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และทุกๆ ท่านด้วยคะ
ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านเลยค่ะ
"ทางลัด" และ "ธรรมะคิดเอง" นี้น่ากลัวจริงๆ ครับ
กราบอนุโมทนาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์และท่านอาจารย์วิทยากร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
เพราะว่า ตามความเป็นจริง แม้เป็น "สิ่งที่ปรากฏ" ก็ไม่รู้
และ ควรที่จะเริ่มรู้หรือยัง?
เพราะเหตุว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ความจริงในขณะนี้ ค่ะ
กราบเท้าอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
กราบขอบพระคุณพี่แดง - พี่สงบ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์และท่านอาจารย์วิทยากร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และทุกๆ ท่านครับ
ไม่ใช่อยากจะรู้ หรือว่า บรรลุธรรมะ
โดยไม่เข้าใจ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านสพรั่งฯท่านอจ.กาญจนา -สงบฯคุณวันชัยฯ และทุกๆ ท่านค่ะ....