พละ 7 ประการ คือ ศรัทธา วิริยะ หิริ โอตตัปปะ สติ สมาธิ และปัญญา อะไรเกิดก่อน หรือเกิดพร้อมกันทั้ง 7 ประการครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พละ หมายถึง สภาพธรรมที่มีกำลัง ไม่หวั่นไหว
สัทธาพละ มีความไม่หวั่นไหว ในความไม่มีศรัทธา
วิริยะพละ มีความไม่หวั่นไหว ในความไม่เกียจคร้าน
สติพละ มีความไม่หวั่นไหว ในความไม่ประมาท
สมาธิพละ มีความไม่หวั่นไหวไป เพราะความฟุ้งซ่าน
ปัญญาพละ มีความไม่หวั่นไหวไป ในความไม่รู้
หิริพละ มีความไม่หวั่นไหวไป ในความไม่ละอายต่อบาป
โอตตัปปะพละ มีความไม่หวั่นไหวไป ในความไม่เกรงกลัวต่อบาป
ในความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่ใช่เกิดสภาพธรรมเดียว เมื่อมีการเกิดขึ้นของจิต ย่อมมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งเจตสิก ก็ไม่ใช่เกิดประเภทเดียว แต่เกิดหลายประเภทพร้อมๆ กัน เช่น สภาพธรรมที่เป็นเจตสิกที่ดีงาม ก็เกิดพร้อมกัน อย่างน้อย 19 เจตสิก ที่เรียกว่า โสภณสาธารณะเจตสิก 19 เช่น มี ศรัทธา สติ หริ โอตตัปปะ เป็นต้น และก็มีเจตสิกประเภทอื่นๆ ที่เกิดพร้อมกับจิตเสมอ คือ เอกัคคตาเจตสิก ที่เป็นองค์ของสมาธิ และมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตเกือบทุกประเภทที่เกิดพร้อมกับเจตสิกอื่นๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เป็นพละทั้ง 7 เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาที่มีกำลังที่จะทำให้ถึงการตรัสรู้ได้ ซึ่งการจะมีกำลังนั้นจะต้องอาศัยปัญญาที่มีกำลัง คือรู้ลักษณะความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งขณะที่ปัญญาเกิด ที่เป็นอโมหเจตสิก ก็มีสภาพธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย ที่เป็นเจตสิกประเภทต่างๆ คือ สัทธาเจตสิก ขณะนั้นก็เป็น ศรัทธาพละ มีวิริยเจตสิก เป็นวิริยะพละ มีสติเจตสิก ที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม เป็นสติพละ และมีเอกัคคตาเจตสิก ความตั้งมั่นในอารมณ์ที่สติและปัญญารู้ เป็นสมาธิพละ และขณะนั้นก็มีหิริเจตสิก ก็เป็นหิริพละ เพราะมีกำลังด้วยมีปัญญาเกิดร่วมด้วยที่รู้ความจริงและมีโอตตัปปะเจตสิกเป็นโอตตัปปะพละในขณะนั้น รวมความว่า พละทั้ง 7 เกิดพร้อมกัน ในขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พละทั้ง ๗ ประการ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ที่เป็นไปกับการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง โดยที่ศรัทธาพละ เป็นสัทธาเจตสิก วิริยพละ เป็นวิริยเจตสิก หิริพละ เป็นหิริเจตสิก โอตัปปพละ เป็นโอตตัปปเจตสิก สติพละ เป็นสติเจตสิก สมาธิพละ เป็นเอกัคคตาเจตสิก และปัญญาพละ เป็นปัญญาเจตสิก เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่พร้อมกันในขณะนั้น
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น เพราะเหตุว่าเมื่อกล่าวถึงพละแล้ว เป็นการอบรมเจริญปัญญาเพื่อประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ก็ไม่สามารถไปถึงการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมมีจริงๆ ได้เลย
ดังนั้น สภาพธรรม มีจริง ในขณะนี้ แต่เพราะไม่รู้ จึงมีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ซึ่งไม่เคยได้รู้มาก่อน พร้อมกับตั้งใจฟังพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็จะเป็นเหตุสติปัญญาพร้อมกับสภาพธรรมที่เป็นโสภณธรรมอื่นๆ เกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ครับ
....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ตรงลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม ไม่มีการแยกพละ ๗ ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาในกุศลค่ะ